วันนี้ ( 11 ต.ค.) ร.ต.ต.พิสิษฐ์ เฮงที พงส.( สบ 1 ) สน.ดอนเมือง
ได้รับแจ้งเหตุคนร้ายเข้าไปลักทรัพย์ ภายในบริษัทบาเซล จำกัด เลขที่
161/207-9 หมู่บ้านบัณฑิตโฮม ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงสนามบิน
เขตดอนเมือง จึงรุดเดินทางไปตรวจสอบพร้อมด้วย พ.ต.อ. สำราญ นวลมา
ผกก.สน.ดอนเมือง และเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน
ที่เกิดเหตุเป็นอาคารพาณิชย์สูง 4 ชั้น ขึ้นไปที่ชั้นสองพบร่อยรอยประตูถูกงัดจากด้านนอก เมื่อเข้าไปในห้องผู้จัดการบริษัท ที่โต๊ะมีรอยถูกของแข็งงัดออก ทรัพย์สิ้นถูกรื้อค้นกระจัดกระจาย นอกจากนี้ยังพบตู้เซพขนาด 50x70 ซม. มีร่องรอยการถูกงัดแงะจนฝาตู้เซพหลุดออกมา โดยทรัพย์สินที่อยู่ภายในตู้เซพหายไปทั้งหมด ประกอบด้วย เพชรที่เจียระไนแล้ว มูลค่าประมาณ 5 ล้านบาท เครื่องประดับอัญมณีจำนวน 400 ชิ้น มูลค่าประมาณ 3 ล้านบาท ทองคำแท่งและทองคำตัวเรือน มูลค่าประมาณ 1 ล้านบาท รวมทรัพย์สินอื่นๆมูลค่าประมาณ 10 ล้านบาท เมื่อขึ้นไปบริเวณชั้น 4 ภายในห้องน้ำยังพบฝ้าเพดานทะลุลงมาจากหลังคาและมีบันไดเหล็กพาดขึ้นไปด้านบน เจ้าหน้าที่จึงเก็บลายนิ้วมือแฝงทั้งหมดไว้เป็นหลักฐาน
จากการสอบสวนนายณรงค์ หรรษานนท์ อายุ 49 ปี เจ้าของบริษัท กล่าวว่า อาคารดังกล่าวตนเองได้เปิดบริษัทค้าขายจิวรี่ และเครื่องประดับอัญมณีต่างๆ โดยมีสาขาตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป พนักงานที่บริษัทมีทั้งหมดประมาณ 10 คน ก่อนเกิดเหตุ เมื่อวานนี้ตนเองและพนักงานได้ปิดบริษัทและกลับบ้านพร้อมกันเวลาประมาณ 18.00 น. โดยประตูและหน้าต่างทุกบานถูกล็อคอย่างเรียบร้อย และช่วงประมาณ 09.00 น. ของวันนี้พนักงานได้โทรมาบอกว่ามีคนร้ายได้เข้ามางัดตู้เซพภายในบริษัท ตนจึงรีบเดินทางมาดูและแจ้งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ นอกจากนี้ที่กล้องวงจรปิดยังพบว่าคนร้ายได้ถอดสายไฟออกไปทั้งหมด ซึ่งตนเองเชื่อว่าคนร้ายน่าจะรู้ที่ตั้งของตู้เซพเป็นอย่างดี และรู้วิธีการทำลายภาพกล้องวงจรปิด โดยที่ห้องอื่นๆคนร้ายไม่ได้แตะต้องแต่อย่างใด
ด้าน ร.ต.ต.พิสิษฐ์ เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดภาพได้ถูกตัดไปเวลา 04.05 น. ของวันที่ 11 ต.ค. จึงทำการตรวจสอบภาพย้อนหลังพบว่า คนร้ายได้สวมเสื้อแขนสั้นสีแดง กางเกงขาสั้นสีฟ้า สวมหมวกไหมพรมและถุงมือสีดำ มีลักษณะรูปร่างท้วม โดยสันนิฐานว่าคนร้ายน่าจะมีประมาณ 3-4 คน เพราะตู้เซพถูกเคลื่อนย้ายออกมาจากที่เดิมและมีน้ำหนักมากไม่น่าจะลงมือ เพียงคนเดียวได้ และคนร้ายน่าจะเข้ามาจากทางหลังคาด้านบน แล้วจึงเจาะฝ้าเพดานในห้องน้ำของชั้น 4 แล้วลงมาขโมยทรัพย์สินที่บริเวณชั้นสอง ก่อนนำบันไดของบริษัทดังกล่าวปีนหนีออกไปทางเดิม จากนี้จะได้นำภาพจากกล้องวงจรให้ทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนติดตามหาตัวคนร้าย มาดำเนินคดีต่อไป
ที่เกิดเหตุเป็นอาคารพาณิชย์สูง 4 ชั้น ขึ้นไปที่ชั้นสองพบร่อยรอยประตูถูกงัดจากด้านนอก เมื่อเข้าไปในห้องผู้จัดการบริษัท ที่โต๊ะมีรอยถูกของแข็งงัดออก ทรัพย์สิ้นถูกรื้อค้นกระจัดกระจาย นอกจากนี้ยังพบตู้เซพขนาด 50x70 ซม. มีร่องรอยการถูกงัดแงะจนฝาตู้เซพหลุดออกมา โดยทรัพย์สินที่อยู่ภายในตู้เซพหายไปทั้งหมด ประกอบด้วย เพชรที่เจียระไนแล้ว มูลค่าประมาณ 5 ล้านบาท เครื่องประดับอัญมณีจำนวน 400 ชิ้น มูลค่าประมาณ 3 ล้านบาท ทองคำแท่งและทองคำตัวเรือน มูลค่าประมาณ 1 ล้านบาท รวมทรัพย์สินอื่นๆมูลค่าประมาณ 10 ล้านบาท เมื่อขึ้นไปบริเวณชั้น 4 ภายในห้องน้ำยังพบฝ้าเพดานทะลุลงมาจากหลังคาและมีบันไดเหล็กพาดขึ้นไปด้านบน เจ้าหน้าที่จึงเก็บลายนิ้วมือแฝงทั้งหมดไว้เป็นหลักฐาน
จากการสอบสวนนายณรงค์ หรรษานนท์ อายุ 49 ปี เจ้าของบริษัท กล่าวว่า อาคารดังกล่าวตนเองได้เปิดบริษัทค้าขายจิวรี่ และเครื่องประดับอัญมณีต่างๆ โดยมีสาขาตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป พนักงานที่บริษัทมีทั้งหมดประมาณ 10 คน ก่อนเกิดเหตุ เมื่อวานนี้ตนเองและพนักงานได้ปิดบริษัทและกลับบ้านพร้อมกันเวลาประมาณ 18.00 น. โดยประตูและหน้าต่างทุกบานถูกล็อคอย่างเรียบร้อย และช่วงประมาณ 09.00 น. ของวันนี้พนักงานได้โทรมาบอกว่ามีคนร้ายได้เข้ามางัดตู้เซพภายในบริษัท ตนจึงรีบเดินทางมาดูและแจ้งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ นอกจากนี้ที่กล้องวงจรปิดยังพบว่าคนร้ายได้ถอดสายไฟออกไปทั้งหมด ซึ่งตนเองเชื่อว่าคนร้ายน่าจะรู้ที่ตั้งของตู้เซพเป็นอย่างดี และรู้วิธีการทำลายภาพกล้องวงจรปิด โดยที่ห้องอื่นๆคนร้ายไม่ได้แตะต้องแต่อย่างใด
ด้าน ร.ต.ต.พิสิษฐ์ เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดภาพได้ถูกตัดไปเวลา 04.05 น. ของวันที่ 11 ต.ค. จึงทำการตรวจสอบภาพย้อนหลังพบว่า คนร้ายได้สวมเสื้อแขนสั้นสีแดง กางเกงขาสั้นสีฟ้า สวมหมวกไหมพรมและถุงมือสีดำ มีลักษณะรูปร่างท้วม โดยสันนิฐานว่าคนร้ายน่าจะมีประมาณ 3-4 คน เพราะตู้เซพถูกเคลื่อนย้ายออกมาจากที่เดิมและมีน้ำหนักมากไม่น่าจะลงมือ เพียงคนเดียวได้ และคนร้ายน่าจะเข้ามาจากทางหลังคาด้านบน แล้วจึงเจาะฝ้าเพดานในห้องน้ำของชั้น 4 แล้วลงมาขโมยทรัพย์สินที่บริเวณชั้นสอง ก่อนนำบันไดของบริษัทดังกล่าวปีนหนีออกไปทางเดิม จากนี้จะได้นำภาพจากกล้องวงจรให้ทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนติดตามหาตัวคนร้าย มาดำเนินคดีต่อไป
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น