ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ บางกะปิ
www.becomz.com

  • ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ บางกะปิ รามคำแหง

    ซ่อมคอมถึงบ้าน,ซ่อมคอมพิวเตอร์ถึงบ้าน,ซ่อมคอมนอกสถานที่,ซ่อมคอมพิวเตอร์ นอกสถานที่,วางระบบอินเตอร์เน็ต,วางระบบแลน,ระบบเน็คเวิร์ค,เขียนโปรแกรมเว็บไซด์,ดูแลคอมพิวเตอร์แบบรายเดือน-รายปี,พร้อมบริการด้านไอทีจ่าย. สนใจติดต่อ 095-954-4524

  • หากคุณกำลังมองหาสถานที่ รับซ่อมคอมถึงที่

    ราคือหน่วยรับซ่อมคอมพิวเตอร์ถึงที่ ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน ที่ทำงาน บริษัท ห้าง ร้าน สถานสงเคราะห์ โรงเรียน โรงพยาบาล ฯลฯ เราจะไปบริการซ่อมให้ในราคาสุดประหยัด ถูกกว่ายกไปซ่อมที่ห้างหรือร้านซ่อมแน่นอน เนื่องจากทางร้านของเราไม่ต้องเสียค่าเช่าพื้นที่ จึงสามารถลดต้นทุนในส่วนนี้ได้. สนใจติดต่อ 095-954-4524

  • www.becomz.com ให้บริการถึงที่

    บริการซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ โดยไม่ต้องยก เครื่องคอมให้เหนื่อย หรือ เสียเวลา การทำงานของคุณ เรา คือ ทางออกสำหรับคุณ ที่จะไป บริการถึงบ้าน ที่บ้าน หรือ อ๊อฟฟิต ( office ) และ คอนโด อาพาทเม้น ทุกสถานที่ พร้อม ทั้ง ให้ บริการซ่อมคอมพิวเตอร์ 24 ชั่วโมง สำหรับ ลูกค้าบางท่านที่สะดวก. สนใจติดต่อ 095-954-4524

  • ค่าบริการ

    – ซ่อมโปรแกรม แก้ปัญหาด้านโปรแกรมทั่วไป เครื่องละ 500 บาท – เเละลง Driver 300 บาท รวมกับ ซ่อมปกติเป็น 700 บาท – อะไหล่เสีย จะแจ้งราคาอะไหล่ก่อนซ่อม (ลูกค้าสามารถจัดหาอะไหล่เองได้) เพื่อความมั่นใจ ซ่อมเสร็จเรารับประกันซอฟเเวร์ 7วัน พร้อมให้คำแนะนำ และบริการหลังซ่อม ตลอดการรับประกันน ติดตั้งให้ถึงที่ .สนใจติดต่อ 095-954-4524

  • รับซ่อมทุกปัญหา โทรมาคุยกันก่อนได้ครับ

    – บริการอัพเกรดเครื่อง แก้ปัญหาเครื่องช้า รวนบ่อย ค้างบ่อย – บริการติดตั้ง แก้ปัญหา ระบบคอมพิวเตอร์ ระบบแลน-อินเตอร์เน็ต – บริการลงวินโดว์, ลงโปรแกรม, แก้ไวรัส, แก้ปัญหาต่างๆ – บริการฝากซ่อม-เคลม อะไหล่คอมฯ และสินค้าไอที ทุกชนิด – บริการจัดสเป๊คเครื่อง จัดชุดคอมมือ1-2 พร้อมใช้งาน ติดตั้งให้ถึงที่ .สนใจติดต่อ 095-954-4524

วันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2555

พ่อแม่ไม่เชื่อ "เอ๋"ฆ่าตัวตาย



จากเหตุการณ์ช็อกแฟนเพลง น.ส.ผดุงศรี แวงวรรณ หรือ“เอ๋-พัชรา แวงวรรณ” อายุ 48 ปี อดีตนักร้องนำวงดิ โอเวชั่น วงดนตรีชื่อดังยุค 80 หรือเมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้ว ผูกคอตายในโรงจอดรถ ที่บ้านเช่าหลังหนึ่งในเมืองริเวอร์ไซด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 10 ต.ค.ที่ผ่านมา เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ยังไม่ทราบสาเหตุของการฆ่าตัวตายในครั้งนี้ ขณะที่ญาติๆ เตรียมดำเนินการนำศพอดีตนักร้องสาวแหบเสน่ห์กลับมาบำเพ็ญกุศลที่ไทยแล้ว

ความคืบหน้า เมื่อวันที่ 13 ต.ค.ผู้สื่อข่าวได้ติดต่อไปยัง นายวิเชียร อัศว์ศิวะกุล ประธานกรรมการบริษัท นิธิทัศน์ โอเอโอ จำกัด อดีตต้นสังกัดของ เอ๋-พัชรา แวงวรรณ  อดีตนักร้องนำวงดิ โอเวชั่น ที่ผูกคอตายเสียชีวิตอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อสอบถามถึงความคืบหน้าในการนำศพของนักร้องคนดังกลับประเทศไทย นายวิเชียร กล่าวว่า ขณะนี้ทางครอบครัวของเอ๋ ได้แก่ นางศรีสุดารัตน์ กาญจนรักษ์ และนายผดุงศักดิ์ แวงวรรณ มารดาและพี่ชายของนักร้องสาว ซึ่งพักอยู่ที่ จ.ร้อยเอ็ด กำลังรอนำเอกสารที่เตรียมมอบอำนาจในการเคลื่อนย้ายศพไปส่งให้สถานกงสุลใหญ่ สหรัฐฯ ที่ จ.ขอนแก่น ซึ่งจะต้องดำเนินการในวันจันทร์ที่ 15 ต.ค.นี้ เนื่องจากวันเสาร์-อาทิตย์ เป็นวันหยุดราชการ หลังจากนั้นถึงจะทราบว่าศพของเอ๋จะเดินทางมาถึงไทยเมื่อไหร่

นายวิเชียรกล่าวต่อว่าส่วนตัวไม่ปักใจเชื่อว่าเอ๋จะฆ่าตัวตาย เพราะไม่มีเหตุจูงใจ ชีวิตยังมีความสุขดี เร็วๆ นี้ ก็กำลังจะจบการศึกษาด้านพยาบาล อีกทั้งเมื่อสัปดาห์ก่อนเอ๋ยังโทรศัพท์มาหานายเดชา จินดาพล สมาชิกวงรอยัลสไปรท์ส ที่ขณะนี้ทำงานให้บริษัท นิธิทัศน์ โอเอโอ จำกัด ของตนเองว่า ให้ช่วยเตรียมเอกสารเกี่ยวกับการศึกษาที่โรงเรียนเก่า เพื่อนำไปใช้ในการศึกษาเพิ่มเติมด้วย ประกอบกับนางศรีสุดารัตน์ มารดาของเอ๋ก็ไม่ปักใจเชื่อว่าเป็นการฆ่าตัวตายเช่นกัน เนื่องจากเท่าที่ทราบ บ้านพักที่เอ๋อาศัยอยู่เป็นบ้านของสามี-ภรรยาชาวอเมริกันผิวดำ อายุ 70-80 ปี และมีลูกชายอีกคน ซึ่งเอ๋ดูแลพยาบาลอยู่ ต่อมาภรรยาของเขาเสียชีวิต จึงสงสัยได้ว่าอาจจะเกิดปัญหากันในบ้านหรือเปล่า แต่ก็เป็นเพียงการสันนิษฐานของมารดาเอ๋เท่านั้น

ประธานกรรมการบริษัทนิธิทัศน์ฯ กล่าวด้วยว่า ในส่วนค่าใช้จ่าย ยืนยันว่าจะจ่ายค่าดำเนินการนำศพกลับไทย ประมาณ 7-8 พันดอลล่าห์สหรัฐ ซึ่งก่อนหน้านี้พี่ชายของเอ๋มาปรึกษาว่าควรจะเผาศพที่อเมริกาเลยดีหรือไม่ เพราะถ้าประกอบพิธีที่นั่นแล้วนำกลับมาเพียงกระดูกจะเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 3 พันดอลล่าห์สหรัฐ แต่ส่วนตัวอยากพาเอ๋กลับบ้านมากกว่า เพราะถ้าทิ้งไว้ที่นั่นก็กลัวดวงวิญญาณเขาเคว้งคว้าง และแม้ว่าเอ๋จะออกจากต้นสังกัดมานานกว่า 20 ปีแล้ว แต่ตนก็อยากจะทำบุญครั้งใหญ่นี้ให้ เพราะที่ผ่านมาทางบริษัทและเอ๋ผูกพันกันเป็นอย่างดี เอ๋เป็นนักร้องที่สร้างความสุขให้แก่คนไทยมากว่า 30 ปี ซึ่งตนจะเป็นเจ้าภาพในการทำพิธีบำเพ็ญกุศลทุกคืน ตั้งใจจะตั้งศพไว้ที่วัดสายไหม ย่านลำลูกกา เนื่องจากแฟนคลับจะได้เดินทางมาร่วมไว้อาลัย และเคารพศพได้สะดวก นอกจากนี้เนื่องจากเอ๋เป็นหัวเรือใหญ่ของบ้านที่ส่งเสียเงินเลี้ยงดูคนใน ครอบครัวมาตลอด ก็จะให้ลูกชายของตนเป็นผู้จัดการในส่วนค่าเลี้ยงดูรายเดือนที่จะมอบให้แก่ ครอบครัวของนักร้องคนดังด้วย แต่จะเดือนเท่าไหร่ ยังปรึกษากันอยู่

ด้าน ก้อย-พรพิมล ธรรมสาร ส.ส.ปทุมธานี อดีตนักร้องนำวงดิ โอเวชั่น เปิดเผยว่า ได้ทราบข่าวพี่เอ๋-พัชราแล้วตกใจมาก ตนไม่ได้เจอพี่เอ๋นานมากแล้ว ตั้งแต่เขาไปอยู่อเมริกา แต่ก็พอจะทราบข่าวของเขาบ้าง ตอนแรกที่รู้ข่าวก็ช็อกมาก แต่ว่าเป็นอุบัติเหตุก็พอทำใจได้ แต่พอมาทราบอีกครั้งว่าเป็นการฆ่าตัวตายก็ตกใจมาก พี่เอ๋เขาไม่ใช่คนคิดมาก เขาใช้ชีวิตแบบมีความสุข ตนก็ไม่ค่อยสนิทกับพี่เอ๋มาก แต่ก็มีเจอกันเวลาไปร้องเพลงโชว์ตัวด้วยกัน เพราะเข้ามาเป็นนักร้องนำวงดิ โอเวชั่น ต่อจากพี่เอ๋ที่ออกจากวงไปเป็นศิลปินเดี่ยว พี่เขาออกจะเป็นคนห้าวๆ ด้วยซ้ำ ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะฆ่าตัวตาย แต่คิดว่าน่าจะเกิดจากไปอยู่เมืองนอกตัวคนเดียวก็คงเหงา เวลามีปัญหาไม่รู้จะไประบายกับใคร คนที่จะทำอะไรอย่างนี้ได้มันคงเป็นแค่ความคิดวูบเดียวจริง ๆ ตนกับพี่เอ๋เจอกันครั้งสุดท้ายเมื่อตอนไปร้องเพลงที่ภูเก็ตเมื่อหลายสิบปี ก่อน ตอนที่พี่เขาดัง ตนยังเป็นนักเรียนอยู่เลย

ที่ จ.ร้อยเอ็ด ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่แผงขายอาหารทะเลในตลาดสด อ.เสลภูมิ เพื่อพบกับนางศรีสุดารัตน์ กาญจนรักษ์ มารดาของเอ๋-พัชรา แวงวรรณ เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับการเสียชีวิตของลูกสาว พบว่าร้านปิดเงียบ จึงตามไปที่บ้านพัก พบผู้เป็นแม่และพี่ชายอยู่ภายในบ้านแต่ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพใดๆ กล่าวเพียงสั้นๆ ว่ารู้สึกว่าเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นมาก โดยเฉพาะกระแสข่าวที่ว่าลูกเสียชีวิตด้วยการแขวนคอตาย ตนและลูกชายไม่เชื่อและคิดว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ จากนี้จะยื่นเรื่องถึงสถานทูตสหรัฐฯ ให้ตรวจหาสาเหตุที่แท้จริงของคดีนี้ ก่อนปิดประตูบ้านห้ามนักข่าวเข้า และเดินเข้าบ้านด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

จากนั้นผู้สื่อข่าวเดินทางต่อไปยังบ้านเลขที่ 47 หมู่ 5 บ้านโพนเงิน ต.แวง อ.โพนทอง จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งเป็นบ้านของนายโกศล แวงวรรณ อายุ 77 ปี อดีต ส.ส.ร้อยเอ็ด 2 สมัย บิดาของ เอ๋-พัชรา แวงวรรณ กล่าวว่าตนและภรรยาได้แยกทางกันขณะเอ๋ยังเด็ก ส่วนบุตรชายคนโตอยู่กับแม่ หลังจากเอ๋ เข้าสู่วงการเป็นนักร้องดัง แล้วพลิกผันตัวเองไปทำมาหากินอยู่ที่สหรัฐอเมริกา พร้อมกับร้องเพลงตามร้านอาหารไปด้วย ขณะทำงานก็พยายามหาเวลาไปเรียนต่อด้านวิชาชีพพยาบาลจนใกล้จะจบ ระหว่างนั้นเอ๋จะติดต่อและส่งเงินให้แม่และพี่ชายใช้อยู่ทุกๆ เดือน เดือนละนับหมื่นบาท ส่วนตนพอมีอยู่มีกินพึ่งพาตนเองได้ บอกเอ๋ไม่ต้องมาช่วย แต่เอ๋ก็พยายามโทรฯ หา เขาเป็นลูกที่ดี แม้พ่อแม่จะแยกทางกัน แต่เรายังเป็นพ่อลูกกัน ยังติดต่อกันอยู่ประจำ และให้กำลังใจกันมาตลอด

นายโกศลกล่าวต่อว่า จนทราบข่าวเมื่อวันที่ 12 ต.ค.ว่าเอ๋ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตแล้ว ก็รู้สึกท้อใจน้ำตาคลอที่ลูกเอ๋ต้องมาจากไป เขาเป็นลูกสุดที่รักของพ่อมาตลอด และต่อมามีข่าวเสนอเพิ่มเติมว่าสาเหตุการเสียชีวิตมาจากการแขวนคอตาย ทำให้ถึงกับอึ้งไปพักใหญ่ และไม่เชื่อกับเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะลูกสาวคนนี้เป็นคนสุภาพเรียบร้อย อัธยาศัยดี มีฐานะพออยู่พอกิน ไม่เดือดร้อน และไม่มีปัญหาชีวิตใดๆ ข่าวที่ออกมาตนได้พูดคุยกับแม่และพี่ชายของเอ๋แล้ว เราจะเตรียมเอกสารเข้ายื่นที่จังหวัด เพื่อให้จังหวัดประสานไปยังสถานกงสุล หรือสถานทูต ให้พิสูจน์ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเสียชีวิตครั้งนี้ ในตอนนี้พวกเราทุกคนยังไม่เชื่อกับเรื่องการแขวนคอตายเอง และเราได้คุยกับแม่ของเอ๋ว่าให้ทางฝ่ายแม่เป็นผู้ประสานงาน และการเดินทางไปรับศพลูกสาว ส่วนตนจะรอฟังข่าวอยู่ที่บ้านเพราะอายุมากไปมาลำบาก เมื่อรับศพมาบำเพ็ญกุศลที่วัดใด วันเวลาใดแน่ชัดแล้วก็จะไปร่วมพิธีทันที
“ทราบมาบ้างว่าเอ๋มีแฟนเป็นตำรวจแอลเอ เป็นชาวอเมริกัน ลักษณะคบหากันเฉยๆ ยังไม่ได้แต่งงานเป็นเรื่องเป็นราว ก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือเปล่า”
ผู้สื่อข่าวเดลินิวส์จากนครลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย รายงานว่านายบรรณา วังวิวัฒน์ กงสุลฝ่ายคุ้มครองดูแลคนไทย ณ สถานกงสุลประจำนครลอสแอนเจลิส เปิดเผยว่า ได้พูดคุยกับตำรวจแอลเอเมื่อตอนบ่ายวันที่ 12 ต.ค.(ตามเวลาท้องถิ่น) ได้รับคำตอบว่าการเสียชีวิตของเอ๋-พัชรา แวงวรรณ ไม่ใช่การฆาตกรรมแน่นอน แต่ยังไม่มีรายละเอียดเป็นลายลักษณ์อักษรจากตำรวจ “จากประวัติ ตอนแรกๆ ที่คุณเอ๋มาอยู่สหรัฐฯ ได้ทำงานดูแลผู้สูงอายุ และพักอยู่ที่บ้านเช่าหลังเดียวกัน ขนาด 2 ชั้น 4 ห้องนอน ต่อมาคุณเอ๋ได้เรียนภาษา และเรียนวิชาชีพด้านผู้ช่วยพยาบาล และได้ทำงานถึง 3 แห่ง จึงไม่ได้ดูแลผู้สูงอายุคนดังกล่าวอีก แต่ก็ยังเช่าบ้านเดิมอยู่ ก่อนหน้านั้นไม่นาน เจ้าของบ้านบอกว่า คุณเอ๋บอกว่าจะซื้อของขวัญให้หลาน และส่งเงินกลับบ้านให้คุณแม่เดือนละ 25,000 บาทเป็นประจำ ต่อมาไม่นานเธอมีปัญหาตกงาน ซึ่งทางเจ้าของบ้านไม่แน่ใจว่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอฆ่าตัวตายหรือไม่”.
Share:

'สื่ออิเล็กทรอนิกส์' เพื่อทุกชีวิตในชุมชน


ความสุขใจเกิดขึ้นทุกครั้งเมื่อได้เห็นความร่วมมือดี ๆ จากหน่วยงานภาครัฐและองค์กรต่าง ๆ ที่ลงมือสร้างสรรค์สิ่งดีที่จะเกิดประโยชน์แก่ชุมชนอย่างแท้จริง ดังเช่น ’โครงการเผยแพร่องค์ความรู้สู่สาธารณะ เรียนรู้ สนุกเล่น หยั่งลึกสัมผัสไทย“ ที่จัดขึ้นโดย สำนักงานอุทยานการเรียนรู้ หรือ ทีเคปาร์ค จับมือกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที)กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) โดยอาศัยพันธกิจหลักของทีเคปาร์ค ในการทำหน้าที่บริหารจัดการองค์ความรู้ จึงได้รวบรวมคลังข้อมูลความรู้
สำคัญ ๆ จากหน่วยงานสังกัด วธ. ผลิตสื่อการเรียนรู้อิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบของ “เกม” จากนั้นประสานนำไปติดตั้งในคอมพิวเตอร์ของชุมชน ผ่านทางเครือข่ายไอซีทีชุมชน และติดตั้งในห้องคอมพิวเตอร์ โรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จำนวนรวมกว่า 100 แห่งทั่วประเทศ
โดยเหตุผลข้อหนึ่งของ “ทีเคปาร์ค” ที่มุ่งเน้นการทำเกม เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้สู่สาธารณะ เพราะในปัจจุบันการใช้เวลาว่างของเด็กและเยาวชนไทย หมดไปกับการเล่นเกมหรือทำกิจกรรมที่ไม่เป็นประโยชน์สูง ซึ่งความเห็นของ ดร.ทัศนัย วงศ์พิเศษกุล ผอ.ทีเคปาร์ค ระหว่างการลงพื้นที่ติดตามการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ ณ โรงเรียนและศูนย์ไอซีทีชุมชน ในจังหวัดบุรีรัมย์ บอกว่า ผลสำเร็จของโครงการฯ เกิดขึ้นแล้ว ในแง่ของการสร้างความสนุกสนานในการเรียนรู้ ส่วนเรื่องขององค์ความรู้ที่ได้จากการเล่นเกมของทีเคปาร์คนั้น ยังคงต้องอาศัยการแนะนำที่ดีจากผู้ปกครองด้วย เพราะเกมที่นำมาให้เด็กเล่นนั้นมีเนื้อหาพอสมควร ถ้าเด็กไม่อ่านก็จะไม่ได้ประโยชน์ครบถ้วน แต่อย่างน้อยก็ยังมีข้อดีตรงที่เด็กจะไม่ได้เล่นสื่อที่ไม่ดี
“เกมสร้างสรรค์ที่ทีเคปาร์คพัฒนาขึ้นมานั้น มีจำนวน 6 เกม ได้แก่ เกมกุ๊ก กุ๊ก กรู๋..คนสู้ผี, เกมรามเกียรติ์, เกมอยุธยา, เกมสุโขทัย, เกมไดโนไดโน่ ผจญภัยโลกไดโนเสาร์ไทย และ เกม Star Seeker พลิกฟ้า ล่าดวงดาว ทุกเกมได้ผ่านการยอมรับและมีรางวัลการันตีถึงประโยชน์ในการสร้างสรรค์ จินตนาการ เสริมสร้างความรู้ และอุปนิสัยที่ดี ยกตัวอย่าง เกมอยุธยา เป็นเกมที่เหมาะสำหรับเด็กอายุ 8 ขวบขึ้นไป เนื้อหาของเกมไม่ได้เน้นเรื่องประวัติศาสตร์ แต่จะสอนเรื่องของความเอื้ออาทรของคนในสังคมยุคอดีต โดยผู้เล่นต้องอาศัยความช่วยเหลือจากบุคคลอื่นในเกมเพื่อให้ผ่านด่านได้ อาทิ การเก็บฝักบัวถวายพระ ต้องขอแรงลุงป้าน้าอาในเกม เป็นการสอนคุณธรรม จริยธรรม ซึ่งเด็กก็จะได้ซึมซับไปโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นแค่เพียงเขาสนุกที่จะเล่นเกมก็ถือว่าได้ประโยชน์แล้ว” ผอ.ทีเคปาร์ค กล่าว
“โกวิทย์ เกลือสีโท” ครูโรงเรียนบ้านตลาดแย้ ตำบลถนนหัก อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ บอกว่า ทุกวันอังคารและพุธ ตนจะพาเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3-4 และ 5-6 กลุ่มละ 20 กว่าคน ในชั่วโมงเรียนวิชาคอมพิวเตอร์ มาเล่นเกมของทีเคปาร์ค ที่ศูนย์ไอซีทีชุมชนเพื่อพ่อหลวง องค์การบริหารส่วนตำบลถนนหัก ด้วยเหตุผลข้อแรกเพราะที่โรงเรียนมีคอมพิวเตอร์เพียง 4 เครื่อง แต่ใช้งานจริงได้ 2 เครื่องสำหรับทำธุรการที่จำเป็น และอีกเหตุผลหนึ่งเป็นข้อสำคัญ ที่พาเด็กนักเรียนมาเพราะอยากให้เขาได้จับเครื่องคอมพิวเตอร์นั่นเอง
“ตอนแรกที่ยังไม่มีเกมของทีเคปาร์ค ผมให้นักเรียนลองฝึกค้นหาข้อมูลและฝึกพิมพ์รายงานทั่วไป พบว่าเด็กบางคนทำได้ดี บางคนก็ทำไม่ได้เลย แต่พอมีเกม ผมก็แบ่งเวลาให้เขาเล่นเกม ซึ่งแต่ละเกมก็ฝึกทักษะแตกต่างกันไป เด็กจะได้เลือกเล่นเกมที่ตัวเองถนัดและชอบ ทุกคนก็เล่นได้หมด และรู้สึกว่าพวกเขาสนุกที่ได้เล่นเกมด้วย ส่วนเราในฐานะเป็นครู เห็นเด็กขาดโอกาสที่จะเล่นสื่อคอมพิวเตอร์ ดังนั้นถ้าได้เล่นได้จับสัปดาห์ละประมาณ 3 ชั่วโมง ผมก็ว่าดีแล้ว ที่เหลือก็เป็นเรื่องพัฒนาการของเด็กที่จะมีต่อไป” นายโกวิทย์ กล่าว
ความเห็นของคุณครูโกวิทย์ สอดคล้องกันกับคำให้สัมภาษณ์จากปาก “น้องอิง” หรือ ด.ช.ปฏิมากร แน่ประโคน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเมืองตลุงพิทยาสรรค์ อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นอีกจุดหนึ่งที่ทีเคปาร์คได้ลงพื้นที่ติดตามผลการใช้สื่อ อิเล็กทรอนิกส์...น้องอิง บอกว่า ส่วนตัวชอบเกมรามเกียรติ์ของทีเคปาร์ค เพราะเป็นเกมวางแผน แต่เกมมีจุดอ่อนตรงที่แต่ละด่านง่ายเกินไป แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นจุดแข็งด้วย เพราะเนื้อหาของเกมที่เรียบง่าย ทำให้การเรียนรู้และทำความรู้จักกับตัวละครในเรื่องง่ายตามไปด้วย การเล่นเกมได้ผลดีเพราะทำให้จำตัวละครและเข้าใจเรื่องได้เป็นขั้นเป็นตอน จากแต่ก่อนที่รู้จักแค่บางตัวละครที่เด่น ๆ เท่านั้น ซึ่งนอกจากเรื่องเกมแล้ว น้องอิง มีความสนใจไปถึงการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โดยอยากให้ครูสอนวิธีเขียนโปรแกรม จะได้เขียนเป็น และเขียนโปรแกรมใช้เองได้ตามต้องการ
ถัดจากการติดตามการใช้สื่อในกลุ่มสถานศึกษา ก็มาดูการใช้สื่อกับชุมชน ให้สมกับชื่อโครงการเผยแพร่องค์ความรู้สู่สาธารณะฯ โดย “ธำรงค์ ชำนิจศิลป์” ปลัดเทศบาลตำบลประโคนชัย ในฐานะประธานเครือข่ายไอซีที จังหวัดบุรีรัมย์ บอกว่า ไม่ว่าจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ได้มาจากกระทรวงไอซีที หรือโปรแกรมเกมต่าง ๆ ที่ได้จากทีเคปาร์ค ทุกอย่างที่ลงมาจากส่วนกลางจะต้องถูกนำไปใช้ประโยชน์แก่คนในชุมชนให้ได้มาก ที่สุด จุดสำคัญของการเข้ามาของสื่ออิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ คือการทำให้คนในชุมชนรู้ว่าสื่อเหล่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องและช่วยสร้าง ประโยชน์ให้แก่ชีวิตประจำวันของพวกเขาได้อย่างไร
“คำถามแรกที่จะได้รับจากคนในชุมชน คือ ความคิดที่ว่าจะเล่นคอมพิวเตอร์ไปทำไม พอได้คอมพิวเตอร์มาก็ไม่รู้จะเล่นอะไร ดังนั้นผมจึงเริ่มต้นด้วยการสร้างกิจกรรมที่พวกเขาสนใจขึ้นมา และใช้สื่อเหล่านี้เข้ามาเป็นตัวช่วย เช่น จัดกิจกรรมอบรมการทำขนม โดยให้แม่บ้านที่สนใจเรียนทำขนมมารวมตัวกันและเรียนรู้การทำขนมจากสื่อใน คอมพิวเตอร์ เขาก็จะรู้ว่าคอมพิวเตอร์มีประโยชน์อย่างไร ค้นคว้าทำอย่างไร นอกจากนี้มีบางคนได้เรียนรู้เกี่ยวกับการสร้างอาชีพ สามารถศึกษาวิธีเพาะเห็ดจนเชี่ยวชาญแล้วไปทำขายร่ำรวยจริง ๆ หรือบางคนชอบกีฬาชนไก่ ได้มานั่งเปิดดูคลิปชนไก่แล้วมีความสุข ผมก็ถือว่าได้ใช้ประโยชน์จากสื่อเหล่านี้แล้ว” นายธำรงค์ กล่าว
เมื่อเห็นพัฒนาการด้านไอทีของชาวจังหวัดบุรีรัมย์แล้ว จึงไม่แปลกใจที่มาพบเห็นภาพกลุ่มหญิงชราวัย 80 ปี พากันนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ พร้อมกับใช้นิ้วมือและสายตาอันเลือนรางควานหาตัวอักษรบนแป้นพิมพ์เพื่อสะกด ชื่อตัวเองลงหน้ากระดาษสีขาวบนจอคอมพ์ โดยมีลูกหลานในชุมชนคอยช่วยเหลือดูแล ณ จุดนั้นถือเป็นภาพประทับใจของทุกคนที่ลงพื้นที่ติดตามการใช้สื่อฯ ที่บ้านตากแดด อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ เพราะไม่ใช่แค่ความรู้สึกยินดีกับการเปิดรับสื่อใหม่ของคุณตาคุณยาย แต่ยังรู้สึกอบอุ่นไปด้วย เมื่อรู้ว่าสื่ออิเล็กทรอนิกส์ได้กลายเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์อันดีให้ แก่คนทุกวัยในชุมชน.
จินดารัตน์ ลาภเลี้ยงตระกูล
Share:

ดีเอสไอหิ้วแก๊งแชร์น้ำหอมไทย-จีน 6 คนฝากขังค้านประกัน


วันนี้ (13 ต.ค.) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก  พนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) คุมตัวนายฮวง เชียง เซียง ชาวจีน  น.ส.หว่อง คิน ซี ชาวจีน  น.ส.เฉิน เป่า หยี ชาวจีน น.ส.มีนา สุขสงวน  นางวนิสา ศิลาอ่อน  และนายคำสิงห์ วรรณประภา ผู้ต้องหาที่ 1-6  ในข้อหาร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ไปฝากขังที่ศาลอาญาครั้งแรก มีกำหนด 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 13-24 ต.ค.
ทั้งนี้คำร้องฝากขังบรรยายว่า ผู้ต้องหาที่ 1 เป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัทดิจิตอล คราวน์ โฮลดิ้ง จำกัด ทำธุรกิจขายตรง นำเข้าน้ำหอมจากต่างประเทศ โดยมีการโฆษณาชักชวนหาสมาชิกผ่านทางเว็บไซต์ www.dchl.com  เชิญชวนให้สมาชิกเข้าร่วมรับการอบรมโดยผู้ต้องหาทั้ง 6 จะเป็นผู้บรรยายในการสัมมนา ให้สมาชิกร่วมลงทุนกับบริษัท ซึ่งไม่ใช่การขายสินค้าทั่วไป สร้างความเสียหายมูลค่า 10 ล้านบาท
เหตุเกิดระหว่างวันที่ 11 ส.ค.53-15พ.ค.54  แต่การสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จ ต้องสอบปากคำพยานอีก 30 ปาก และรอผลการตรวจประวัติอาชญากร จึงขออนุญาตศาลฝากขัง พร้อมคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากเกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี   ศาลพิจารณาคำร้อง อนุญาตให้ฝากขังได้

Share:

พ่อแม่ไม่เชื่อ "เอ๋"ฆ่าตัวตาย


จากเหตุการณ์ช็อกแฟนเพลง น.ส.ผดุงศรี แวงวรรณ หรือ“เอ๋-พัชรา แวงวรรณ” อายุ 48 ปี อดีตนักร้องนำวงดิ โอเวชั่น วงดนตรีชื่อดังยุค 80 หรือเมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้ว ผูกคอตายในโรงจอดรถ ที่บ้านเช่าหลังหนึ่งในเมืองริเวอร์ไซด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 10 ต.ค.ที่ผ่านมา เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ยังไม่ทราบสาเหตุของการฆ่าตัวตายในครั้งนี้ ขณะที่ญาติๆ เตรียมดำเนินการนำศพอดีตนักร้องสาวแหบเสน่ห์กลับมาบำเพ็ญกุศลที่ไทยแล้ว

ความคืบหน้า เมื่อวันที่ 13 ต.ค.ผู้สื่อข่าวได้ติดต่อไปยัง นายวิเชียร อัศว์ศิวะกุล ประธานกรรมการบริษัท นิธิทัศน์ โอเอโอ จำกัด อดีตต้นสังกัดของ เอ๋-พัชรา แวงวรรณ  อดีตนักร้องนำวงดิ โอเวชั่น ที่ผูกคอตายเสียชีวิตอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อสอบถามถึงความคืบหน้าในการนำศพของนักร้องคนดังกลับประเทศไทย นายวิเชียร กล่าวว่า ขณะนี้ทางครอบครัวของเอ๋ ได้แก่ นางศรีสุดารัตน์ กาญจนรักษ์ และนายผดุงศักดิ์ แวงวรรณ มารดาและพี่ชายของนักร้องสาว ซึ่งพักอยู่ที่ จ.ร้อยเอ็ด กำลังรอนำเอกสารที่เตรียมมอบอำนาจในการเคลื่อนย้ายศพไปส่งให้สถานกงสุลใหญ่ สหรัฐฯ ที่ จ.ขอนแก่น ซึ่งจะต้องดำเนินการในวันจันทร์ที่ 15 ต.ค.นี้ เนื่องจากวันเสาร์-อาทิตย์ เป็นวันหยุดราชการ หลังจากนั้นถึงจะทราบว่าศพของเอ๋จะเดินทางมาถึงไทยเมื่อไหร่

นายวิเชียรกล่าวต่อว่าส่วนตัวไม่ปักใจเชื่อว่าเอ๋จะฆ่าตัวตาย เพราะไม่มีเหตุจูงใจ ชีวิตยังมีความสุขดี เร็วๆ นี้ ก็กำลังจะจบการศึกษาด้านพยาบาล อีกทั้งเมื่อสัปดาห์ก่อนเอ๋ยังโทรศัพท์มาหานายเดชา จินดาพล สมาชิกวงรอยัลสไปรท์ส ที่ขณะนี้ทำงานให้บริษัท นิธิทัศน์ โอเอโอ จำกัด ของตนเองว่า ให้ช่วยเตรียมเอกสารเกี่ยวกับการศึกษาที่โรงเรียนเก่า เพื่อนำไปใช้ในการศึกษาเพิ่มเติมด้วย ประกอบกับนางศรีสุดารัตน์ มารดาของเอ๋ก็ไม่ปักใจเชื่อว่าเป็นการฆ่าตัวตายเช่นกัน เนื่องจากเท่าที่ทราบ บ้านพักที่เอ๋อาศัยอยู่เป็นบ้านของสามี-ภรรยาชาวอเมริกันผิวดำ อายุ 70-80 ปี และมีลูกชายอีกคน ซึ่งเอ๋ดูแลพยาบาลอยู่ ต่อมาภรรยาของเขาเสียชีวิต จึงสงสัยได้ว่าอาจจะเกิดปัญหากันในบ้านหรือเปล่า แต่ก็เป็นเพียงการสันนิษฐานของมารดาเอ๋เท่านั้น

ประธานกรรมการบริษัทนิธิทัศน์ฯ กล่าวด้วยว่า ในส่วนค่าใช้จ่าย ยืนยันว่าจะจ่ายค่าดำเนินการนำศพกลับไทย ประมาณ 7-8 พันดอลล่าห์สหรัฐ ซึ่งก่อนหน้านี้พี่ชายของเอ๋มาปรึกษาว่าควรจะเผาศพที่อเมริกาเลยดีหรือไม่ เพราะถ้าประกอบพิธีที่นั่นแล้วนำกลับมาเพียงกระดูกจะเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 3 พันดอลล่าห์สหรัฐ แต่ส่วนตัวอยากพาเอ๋กลับบ้านมากกว่า เพราะถ้าทิ้งไว้ที่นั่นก็กลัวดวงวิญญาณเขาเคว้งคว้าง และแม้ว่าเอ๋จะออกจากต้นสังกัดมานานกว่า 20 ปีแล้ว แต่ตนก็อยากจะทำบุญครั้งใหญ่นี้ให้ เพราะที่ผ่านมาทางบริษัทและเอ๋ผูกพันกันเป็นอย่างดี เอ๋เป็นนักร้องที่สร้างความสุขให้แก่คนไทยมากว่า 30 ปี ซึ่งตนจะเป็นเจ้าภาพในการทำพิธีบำเพ็ญกุศลทุกคืน ตั้งใจจะตั้งศพไว้ที่วัดสายไหม ย่านลำลูกกา เนื่องจากแฟนคลับจะได้เดินทางมาร่วมไว้อาลัย และเคารพศพได้สะดวก นอกจากนี้เนื่องจากเอ๋เป็นหัวเรือใหญ่ของบ้านที่ส่งเสียเงินเลี้ยงดูคนใน ครอบครัวมาตลอด ก็จะให้ลูกชายของตนเป็นผู้จัดการในส่วนค่าเลี้ยงดูรายเดือนที่จะมอบให้แก่ ครอบครัวของนักร้องคนดังด้วย แต่จะเดือนเท่าไหร่ ยังปรึกษากันอยู่

ด้าน ก้อย-พรพิมล ธรรมสาร ส.ส.ปทุมธานี อดีตนักร้องนำวงดิ โอเวชั่น เปิดเผยว่า ได้ทราบข่าวพี่เอ๋-พัชราแล้วตกใจมาก ตนไม่ได้เจอพี่เอ๋นานมากแล้ว ตั้งแต่เขาไปอยู่อเมริกา แต่ก็พอจะทราบข่าวของเขาบ้าง ตอนแรกที่รู้ข่าวก็ช็อกมาก แต่ว่าเป็นอุบัติเหตุก็พอทำใจได้ แต่พอมาทราบอีกครั้งว่าเป็นการฆ่าตัวตายก็ตกใจมาก พี่เอ๋เขาไม่ใช่คนคิดมาก เขาใช้ชีวิตแบบมีความสุข ตนก็ไม่ค่อยสนิทกับพี่เอ๋มาก แต่ก็มีเจอกันเวลาไปร้องเพลงโชว์ตัวด้วยกัน เพราะเข้ามาเป็นนักร้องนำวงดิ โอเวชั่น ต่อจากพี่เอ๋ที่ออกจากวงไปเป็นศิลปินเดี่ยว พี่เขาออกจะเป็นคนห้าวๆ ด้วยซ้ำ ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะฆ่าตัวตาย แต่คิดว่าน่าจะเกิดจากไปอยู่เมืองนอกตัวคนเดียวก็คงเหงา เวลามีปัญหาไม่รู้จะไประบายกับใคร คนที่จะทำอะไรอย่างนี้ได้มันคงเป็นแค่ความคิดวูบเดียวจริง ๆ ตนกับพี่เอ๋เจอกันครั้งสุดท้ายเมื่อตอนไปร้องเพลงที่ภูเก็ตเมื่อหลายสิบปี ก่อน ตอนที่พี่เขาดัง ตนยังเป็นนักเรียนอยู่เลย

ที่ จ.ร้อยเอ็ด ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่แผงขายอาหารทะเลในตลาดสด อ.เสลภูมิ เพื่อพบกับนางศรีสุดารัตน์ กาญจนรักษ์ มารดาของเอ๋-พัชรา แวงวรรณ เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับการเสียชีวิตของลูกสาว พบว่าร้านปิดเงียบ จึงตามไปที่บ้านพัก พบผู้เป็นแม่และพี่ชายอยู่ภายในบ้านแต่ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพใดๆ กล่าวเพียงสั้นๆ ว่ารู้สึกว่าเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นมาก โดยเฉพาะกระแสข่าวที่ว่าลูกเสียชีวิตด้วยการแขวนคอตาย ตนและลูกชายไม่เชื่อและคิดว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ จากนี้จะยื่นเรื่องถึงสถานทูตสหรัฐฯ ให้ตรวจหาสาเหตุที่แท้จริงของคดีนี้ ก่อนปิดประตูบ้านห้ามนักข่าวเข้า และเดินเข้าบ้านด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

จากนั้นผู้สื่อข่าวเดินทางต่อไปยังบ้านเลขที่ 47 หมู่ 5 บ้านโพนเงิน ต.แวง อ.โพนทอง จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งเป็นบ้านของนายโกศล แวงวรรณ อายุ 77 ปี อดีต ส.ส.ร้อยเอ็ด 2 สมัย บิดาของ เอ๋-พัชรา แวงวรรณ กล่าวว่าตนและภรรยาได้แยกทางกันขณะเอ๋ยังเด็ก ส่วนบุตรชายคนโตอยู่กับแม่ หลังจากเอ๋ เข้าสู่วงการเป็นนักร้องดัง แล้วพลิกผันตัวเองไปทำมาหากินอยู่ที่สหรัฐอเมริกา พร้อมกับร้องเพลงตามร้านอาหารไปด้วย ขณะทำงานก็พยายามหาเวลาไปเรียนต่อด้านวิชาชีพพยาบาลจนใกล้จะจบ ระหว่างนั้นเอ๋จะติดต่อและส่งเงินให้แม่และพี่ชายใช้อยู่ทุกๆ เดือน เดือนละนับหมื่นบาท ส่วนตนพอมีอยู่มีกินพึ่งพาตนเองได้ บอกเอ๋ไม่ต้องมาช่วย แต่เอ๋ก็พยายามโทรฯ หา เขาเป็นลูกที่ดี แม้พ่อแม่จะแยกทางกัน แต่เรายังเป็นพ่อลูกกัน ยังติดต่อกันอยู่ประจำ และให้กำลังใจกันมาตลอด

นายโกศลกล่าวต่อว่า จนทราบข่าวเมื่อวันที่ 12 ต.ค.ว่าเอ๋ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตแล้ว ก็รู้สึกท้อใจน้ำตาคลอที่ลูกเอ๋ต้องมาจากไป เขาเป็นลูกสุดที่รักของพ่อมาตลอด และต่อมามีข่าวเสนอเพิ่มเติมว่าสาเหตุการเสียชีวิตมาจากการแขวนคอตาย ทำให้ถึงกับอึ้งไปพักใหญ่ และไม่เชื่อกับเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะลูกสาวคนนี้เป็นคนสุภาพเรียบร้อย อัธยาศัยดี มีฐานะพออยู่พอกิน ไม่เดือดร้อน และไม่มีปัญหาชีวิตใดๆ ข่าวที่ออกมาตนได้พูดคุยกับแม่และพี่ชายของเอ๋แล้ว เราจะเตรียมเอกสารเข้ายื่นที่จังหวัด เพื่อให้จังหวัดประสานไปยังสถานกงสุล หรือสถานทูต ให้พิสูจน์ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเสียชีวิตครั้งนี้ ในตอนนี้พวกเราทุกคนยังไม่เชื่อกับเรื่องการแขวนคอตายเอง และเราได้คุยกับแม่ของเอ๋ว่าให้ทางฝ่ายแม่เป็นผู้ประสานงาน และการเดินทางไปรับศพลูกสาว ส่วนตนจะรอฟังข่าวอยู่ที่บ้านเพราะอายุมากไปมาลำบาก เมื่อรับศพมาบำเพ็ญกุศลที่วัดใด วันเวลาใดแน่ชัดแล้วก็จะไปร่วมพิธีทันที
“ทราบมาบ้างว่าเอ๋มีแฟนเป็นตำรวจแอลเอ เป็นชาวอเมริกัน ลักษณะคบหากันเฉยๆ ยังไม่ได้แต่งงานเป็นเรื่องเป็นราว ก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือเปล่า”
ผู้สื่อข่าวเดลินิวส์จากนครลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย รายงานว่านายบรรณา วังวิวัฒน์ กงสุลฝ่ายคุ้มครองดูแลคนไทย ณ สถานกงสุลประจำนครลอสแอนเจลิส เปิดเผยว่า ได้พูดคุยกับตำรวจแอลเอเมื่อตอนบ่ายวันที่ 12 ต.ค.(ตามเวลาท้องถิ่น) ได้รับคำตอบว่าการเสียชีวิตของเอ๋-พัชรา แวงวรรณ ไม่ใช่การฆาตกรรมแน่นอน แต่ยังไม่มีรายละเอียดเป็นลายลักษณ์อักษรจากตำรวจ “จากประวัติ ตอนแรกๆ ที่คุณเอ๋มาอยู่สหรัฐฯ ได้ทำงานดูแลผู้สูงอายุ และพักอยู่ที่บ้านเช่าหลังเดียวกัน ขนาด 2 ชั้น 4 ห้องนอน ต่อมาคุณเอ๋ได้เรียนภาษา และเรียนวิชาชีพด้านผู้ช่วยพยาบาล และได้ทำงานถึง 3 แห่ง จึงไม่ได้ดูแลผู้สูงอายุคนดังกล่าวอีก แต่ก็ยังเช่าบ้านเดิมอยู่ ก่อนหน้านั้นไม่นาน เจ้าของบ้านบอกว่า คุณเอ๋บอกว่าจะซื้อของขวัญให้หลาน และส่งเงินกลับบ้านให้คุณแม่เดือนละ 25,000 บาทเป็นประจำ ต่อมาไม่นานเธอมีปัญหาตกงาน ซึ่งทางเจ้าของบ้านไม่แน่ใจว่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอฆ่าตัวตายหรือไม่”.
Share:

สาวเชียงใหม่เครียดผูกคอดับ


วันนี้ ( 13 ต.ค.) พ.ต.ท.แดนชัย ทูลอ่อง พงส.(สบ 2) สน.สุทธิสาร รับแจ้งเหตุพบผู้เสียชีวิตผูกคอภายในอาคารทอมแมนชั่น เลขที่ 252/1 ซอยรัชดาภิเษก14 แขวง-เขตห้วยขวาง จึงเดินทางไปตรวจสอบพร้อม เจ้าหน้าที่ สน.สุทธิสาร แพทย์รพ.รามาธิบดี เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน และมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่เกิดเหตุเป็นอาคารสูง 7 ชั้น จากการตรวจสอบภายในห้องน้ำของห้องเลขที่ 313 ชั้น 3 พบผู้เสียชีวิตเป็นหญิง 1 ราย ทราบชื่อต่อมาคือ นางกมลพรรณ ตาคำ อายุ 33 ปี อยู่บ้านเลขที่ 152 หมู่ 1 ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ในสภาพใช้สายไฟผูกคอตัวเองกับวาล์วเปิดปิดเครื่องทำน้ำอุ่นภายในห้องน้ำ สวมชุดนอนลายการ์ตูนสีขาว ร่างกายบวมอืด ตามร่างกายไม่พบบาดแผลหรือร่องรอยการถูกทำร้าย เบื้องต้นคาดว่าน่าจะเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 2 วัน ส่วนภายในห้องไม่พบร่องรอยการต่อสู้หรือรื้อค้นทรัพย์สินแต่อย่างใด เจ้าหน้าที่จึงเก็บลายละเอียดที่พบไว้ไปตรวจสอบ

จากการสอบสวน น.ส.ชวัลลักษณ์ โฉมนรินทร์ อายุ 24 เพื่อนผู้ตายให้การว่า ตนพักอยู่ที่ห้องเลขที่ 314 ชั้นเดียวกับผู้ตาย และรู้จักกับผู้ตายมาได้ประมาณ 1 ปี เพราะอยู่ห้องตรงข้ามกัน โดยผู้ตายพักอยู่คนเดียว ปกติจะพบผู้ตายแต่งตัวออกไปข้างนอกช่วงเย็นและกลับมาในช่วงเช้าของทุกวัน กระทั่งเมื่อช่วงเช้าวันที่ 11 ต.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่ตนกำลังเดินออกจากห้องไปพบเพื่อนผู้ตายเป็นชาย 2 คน หญิง 1 คน ประคองผู้ตายเดินมาส่งที่ห้อง สังเกตเห็นผู้ตายร้องไห้ฟูมฟาย แต่ก็ไม่เห็นว่าทั้งหมดได้เดินเข้าไปภายในห้องหรือเปล่า จากนั้นก็ไม่พบผู้ตายอีกเลย กระทั่งมาได้กลิ่นเหม็นคลุ้งออกจากห้องผู้ตาย จึงเรียกแม่บ้านมาตรวจสอบ พบว่าห้องถูกล็อคจากภายใน เมื่อเจ้าหน้าที่งัดประตูเข้าไปตรวจสอบก็พบผู้ตายผูกคอตัวเองภายในห้องน้ำ เสียชีวิตแล้ว ปกติผู้ตายเป็นคนสนุกสนานร่าเริง ไม่เคยแสดงอาการซึมเศร้าให้เห็น และตนก็ไม่เคยรู้เรื่องส่วนตัวเพราะผู้ตายไม่เคยเล่าให้ฟัง ซึ่งตนไม่ทราบว่าผู้ตายมีปัญหาอะไรจึงผูกคอตัวเองดังกล่าว

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่คาดว่าผู้ตายน่าจะมีปัญหาส่วนตัว และจากการสอบถามเพื่อนผู้ตายที่อยู่อาคารเดียวกันก็ไม่ทราบว่าผู้ตายมีปัญหา อะไรเพราะไม่เคยเล่าให้เพื่อนฟัง ส่วนประเด็นที่ว่าผู้ตายท้องหรือไม่นั้น ยังไม่สามารถตรวจสอบได้ต้องรอผลจากการชันสูตรอีกครั้ง หลังจากนี้ทางเจ้าหน้าที่จะได้เรียกญาติและผู้ที่รู้จักคุ้นเคยกับผู้ตาย มาสอบปากคำ เพื่อหาสาเหตุของการตายในครั้งนี้ ก่อนดำเนินการต่อไป
Share:

คอมมานโดบุกทลายบ่อนโชคชัย


เมื่อเวลา 21.30 น.วันนี้ (12 ต.ค.) พ.ต.อ.ธงชัย วงศ์ศรีวัฒนกุล รองผบก.ปอศ. หัวหน้าชุดสืบสวนบช.ก.พร้อมกำลังตำรวจคอมมานโด 50 นายเข้าปิดล้อมตรวจค้นตึกแถว 3 คูหาเลขที่ 3/36 ถนนสุคนธสวัสดิ์ แขวงและเขตลาดพร้าว หลังรับแจ้งจากสายลับสถานที่ดังกล่าวมีการเปิดเป็นบ่อนการพนัน จากการตรวจสอบทีหน้าตึกแถวดังกล่าวมีการติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้โดยรอบกว่า 6 ตัว เจ้าหน้าที่จึงเรียกให้ผู้ที่อยู่ด้านในเปิดประตูแต่ไม่มีเสียงตอบรับจึง ต้องใช้กำลังพังประตูเข้าไปพบนักพนันทั้งชายหญิงกำลังล้อมวงเล่นไฮโล โดยสามารถจับกุมตัวได้ 71 ราย เงินสด 2 แสนบาท นอกจากนี้ยังพบโพยพนันฟุตบอลยอดเงินจำนวนหลายแสนบาท จึงควบคุมตัวทั้งหมดพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน สน.โชคชัยดำเนินคดีข้อหาลักลอบเล่นพนันเอาทรัพย์สินโดยไม่ได้รับอนุญาต

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการบุกเข้าจับกุมบ่อนการพนันในครั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้กันผู้สื่อข่าว ให้อยู่เพียงด้านนอกและไม่ยอมให้ขอมูลใด ๆ กว่า 2 ชั่วโมง  จากการสอบถามผู้คนในละแวกใกล้เคียงทราบว่าบ่อนการพนันดังกล่าว เป็นของเฮียตือ ผู้กว้างขวางย่านโชคชัย 4 และลาดพร้าว เปิดมาได้หลายเดือนแล้ว โดยตั้งแต่ช่วงเย็นของทุกวันจะเห็นผู้คนเข้าออกจำนวนมาก และเมื่อมีใครไปสอบถามก็ได้รับคำตอบว่ามีการแสดงคอนเสิร์ต.
Share:

เด้ง 5 เสือโรงพักโชคชัยช่วยราชการบก.น.4 เซ่นพิษบ่อน


จากกรณีที่ พ.ต.อ.ธงชัย วงศ์ศรีวัฒนกุล รองผบก.ปอศ. หัวหน้าชุดสืบสวนบช.ก. นำกำลังตำรวจคอมมานโด 50 นาย เข้าปิดล้อมตรวจค้นตึกแถว 3 คูหาเลขที่ 3/36 ถนนสุคนธสวัสดิ์ แขวงและเขตลาดพร้าว หลังได้รับแจ้งว่าสถานที่ดังกล่าวมีการลักลอบเปิดเป็นบ่อนการพนัน โดยจับกุมตัวผู้เล่นได้ 71 ราย เงินสด 2 แสนบาท นอกจากนี้ยังพบโพยพนันฟุตบอลยอดเงินจำนวนหลายแสนบาท ซึ่งจากการสอบถามผู้คนในละแวกใกล้เคียงทราบว่าบ่อนการพนันดังกล่าว เป็นของเฮียตือ ผู้กว้างขวางย่านโชคชัย 4 และลาดพร้าว เปิดมาได้หลายเดือน ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
วันนี้(13 ต.ค.) พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้รับรายงานเพียงเบื้องต้นตั้งแต่เมื่อกลางดึกหลังจากที่มีการเข้า จับกุม แต่เนื่องจากวันที่ 13 ต.ค. เป็นวันตำรวจไทย จึงยังไม่มีรายงานเพิ่มเติมเข้ามา อย่างไรก็ตามตนได้สั่งการให้ พล.ต.ต.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผบก.น.4 ดำเนินการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสืบสวนข้อเท็จจริงและจัดการไปเลยว่าจะเอาใคร มาช่วยราชการ เพราะถือว่านอกหน่วยเข้ามาจับกุม ส่วนกรณีที่มีการระบุว่าบ่อนดังกล่าวเป็นบ่อนของเฮียตือ ตนไม่ทราบรายละเอียดต้องให้ผบก.น.เป็นผู้ชี้แจง
ด้าน พล.ต.ต.นัยวัฒน์ กล่าวว่า เบื้องต้นได้มีคำสั่งให้ 5 เสือ ของสน.โชคชัย มาช่วยราชการที่บก.น.4 เป็นเวลา 30 วัน ประกอบด้วย 1.พ.ต.อ.เศรษฐศักดิ์ ยิ้มเจริญ ผกก.สน.โชคชัย 2.พ.ต.ท.เทพรัชต์ สกุลมีฤทธิ์ รองผกก.ป. 3.พ.ต.ท.ขจรพงศ์ จิตต์ภาคภูมิ รองผกก.สส. 4.พ.ต.ต.บัณฑูร เทพสุวรรณ สวป. และ5.พ.ต.ท.จิรวัฒน์ ยอดกระโหม สว.สส. โดยมอบหมายให้ พ.ต.อ.สาโรช ซุ่นทรัพย์ รองผบก.น.4 ไปรักษาราชการเป็นผกก.สน.โชคชัย แทน นอกจากนี้ยังมีคำสั่งให้ตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง ให้พ.ต.อ.บรรลือศักดิ์ ขลิบเงิน รองผบก.น.4 เป็นประธานกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงโดยจะเร่งดำเนินการสืบสวนให้เสร็จสิ้น โดยเร็วที่สุด
Share:

จำคุก 10 เดือน "เจ๊ลำไย" เจ้ามือบ่อนซอยลาดพร้าว 71 ไม่รอลงอาญา


วันนี้(13 ต.ค.) ที่ศาลแขวงพระนครเหนือ ถนนรัชดาภิเษก  ศาลอ่านคำพิพากษาคดีที่ พนักงานอัยการฝ่ายคดีศาลแขวง 1 เป็นโจทก์ฟ้อง นางลำไย ต้นจันทน์ กับพวกร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-52 ในความผิดฐานร่วมกันเล่นการพนันไฮโล จากกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ หรือ ปอศ. เข้าค้นอาคารเลขที่ 3/36-1-2 ซอยลาดพร้าว 71 แยกโรงไม้  โดยได้รับการร้องเรียนว่า มีการเปิดให้เล่นพนันไฮโล และพนันทายผลฟุตบอล

ทั้งนี้จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลพิพากษาลงโทษจำคุก นางลำไย จำเลยที่ 1 ในความผิดฐานเป็นเจ้ามือเล่นการพนันไฮโล เป็นเวลา 4 เดือน ปรับจำเลยที่ 2-52  ผู้เล่นคนละ 1,000 บาท ขณะเดียวกันพนักงานอัยการยังฟ้อง นางลำไย ต้นจันทน์ กับพวกรวม 5 คน ฐานร่วมกันเล่นพนันทายผลฟุตบอล ศาลพิพากษาลงโทษ นางลำไย ฐานเป็นเจ้ามือ จำคุกเป็นเวลา 6 เดือน รวมจำคุกนางลำไย ไว้มีกำหนด 10 เดือน ไม่รอลงอาญา และปรับจำเลยที่ 2-5  ผู้เล่นคนละ 1,000 บาท

นอกจากนี้พนักงานอัยการฝ่ายคดีศาลแขวง 1 ยังยื่นฟ้อง นายอาคม หอมจันทร์ กับพวก ร่วมเป็นจำเลยที่ 1-30 ในความผิดฐานร่วมกันเล่นการพนันไฮโล ที่ถูก สน.ลาดพร้าว จับกุมได้ที่ย่านบางกะปิ เมื่อวันที่ 12 ต.ค.ที่ผ่านมา ศาลพิพากษาจำคุก นายอาคม ฐานเป็นเจ้ามือ เป็นเวลา 3 เดือน และปรับจำเลยที่ 2-30 ผู้เล่น คนละ 1,000 บาท  และฟ้อง นายสมใจ สำราญบุญกับพวก ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-28 ในความผิดฐานร่วมกันเล่นการพนันไฮโล ศาลพิพากษาจำคุก นายสมใจ ฐานเป็นเจ้ามือ เป็นเวลา 3 เดือน และปรับจำเลยที่  2-28 ผู้เล่นคนละ 1,000 บาท.
Share:

พี่ชายแฉ"เอ๋-พัชรา แวงวรรณ" บ่นทะเลาะเจ้าของบ้านผิวดำก่อนเป็นศพ


วันนี้( 13 ต.ค.) นายผดุงศักดิ์ แวงวรรณ พี่ชายของ เอ๋-พัชรา แวงวรรณ  อดีตนักร้องนำวงดิ โอเวชั่น ที่ผูกคอตายปริศนาอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าทั้งครอบครัวไม่เชื่อว่าน้องสาวจะฆ่าตัวตาย เพราะไม่เคยมีพฤติกรรมในลักษณะเช่นนี้มาก่อน หลังจากตนแจ้งข้อกังขาไปยังสถานกงสุลไทยที่สหรัฐอเมริกาว่า ไม่เชื่อว่าผูกคอตาย ก็ได้รับแจ้งจากกงสุล ว่าขอให้ทำหนังสือใช้สิทธิของความเป็นญาติพี่น้องและญาติ แจ้งความจำนงไปจึงจะดำเนินการให้ได้
“กำลังเตรียมหลักฐานเอกสารเพื่อจะยื่นผ่านเจ้าหน้าที่ผ่านศาลากลาง จังหวัดร้อยเอ็ด ไปยังสถานกงสุลไทย ประสานส่งไปยังกงสุลไทยที่สหรัฐอเมริกา แสดงความจำนงขอรับศพจากตำรวจสหรัฐ เพื่อชันสูตรและผ่าพิสูจน์ศพหาสาเหตุการเสียชีวิตที่ชัดเจนต่อไป ก่อนที่จะนำศพน้องสาวกลับมาประเทศไทย ไม่เชื่อเด็ดขาดว่าจะคิดสั้นฆ่าตัวตาย เชื่อว่าจะต้องมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง จึงยอมเสียเวลาพิสูจน์ แล้วจึงจะนำศพกลับมาเมืองไทย” พี่ชาย เอ๋-พัชรา กล่าว

นายผดุงศักดิ์ กล่าวต่อว่า น้องสาวมักเล่าประจำว่า ช่วงที่พักอยู่ที่บ้านในที่เกิดเหตุ ได้เช่าบ้านอาศัยอยู่กับครอบครัวชาวอเมริกันผิวดำชายอายุ 80 ปี ที่ภรรยาเสียชีวิตแล้ว และมีลูกชายผิวดำอายุกว่า 40 ปี อาศัยอยู่ด้วย ซึ่งน้องสาวเล่าประจำว่ามีปัญหาและมีปากเสียง เกิดความขัดแย้งกันเป็นประจำ เดือนละหลายครั้ง และมีปากเสียงกับ 2 พ่อลูกอยู่เสมอ  แต่ก็ต้องทนอยู่ เพราะหาที่อยู่ลำบาก และบ่นไม่สบายใจมาโดยตลอด ดังนั้นเพื่อคลายข้อสงสัยในประเด็นนี้ จึงทำเรื่องยื่นไปขอผ่าพิสูจน์ จนกว่าจะมั่นใจว่าไม่ได้ถูกฆาตกรรมแล้วจัดฉากแขวนคอตายอำพรางคดี คาดว่าใช้เวลา 1 เดือน จะทราบผล
Share:

รองอธิบดีกรมประมงยันปลาชะโดไม่ทำร้ายคน


ความคืบหน้ากรณี นายเจริญ อุดมการ ผอ.ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด จ.นครราชสีมา เปิดเผยว่า สำรวจปลาน้ำจืดในพื้นที่ จ.นครราชสีมา พบปลากินเนื้อ โดยเฉพาะปลาชะโด ชุกชุมเป็นอย่างมาก บางฝูงมีประมาณ 200-300 ตัว และออกกินปลาเล็กทุกชนิด จนเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ รวมทั้งเตือนให้ผู้คนระวังอันตรายจากปลาชนิดนี้ด้วยนั้น
วันนี้(13 ต.ค.) นายสมหวัง  พิมลบุตร รองอธิบดีกรมประมง กล่าวว่า พฤติกรรมของปลาชะโด เป็นปลาตระกูลเดียวกับปลาช่อน  ปลาช่อนงูเห่า ปลากระสง ปลาตระกูลนี้จะออกลูก จะเฝ้าเลี้ยงลูกเหมือนปลาทั่วไป เนื่องจากลูกจะตัวใหญ่กว่าปลาช่อน กว่าจะแยกย้ายออกไปหากินประมาณ 3 เดือนขึ้นไป ลำตัวประมาณ 6-8 นิ้ว พฤติกรรมความดุร้ายกว่าปลาช่อน จะหวงปลาอื่นจะเข้ามาทำร้ายลูก แต่ปลาชะโดมีขนาดใหญ่กว่า ทำให้คนคิดว่าดุร้ายกว่าปลาอื่นๆ ซึ่งทั้งสัตว์น้ำหรือสัตว์บก ช่วงมีลูกอ่อนจะมีนิสัยดุร้ายหวงลูกเป็นธรรมดาของสัตว์ทุกชนิด โดยจะดุร้ายแค่ช่วงตอนมีลูกเท่านั้น ปกติแล้วลูกปลาที่ออกมาประมาณ 200-300 ตัว จะมีแต่พ่อหรือแม่เท่านั้นที่ดุร้าย และปลาชะโดก็จะกลัวคนไม่มาทำร้ายคนแน่นอน ถึงจะอยู่กันเป็นฝูงก็ไม่กัดหรือทำร้ายคน และที่ประชาชนหวั่นเกรงว่าปลาชะโดจะมาทำร้ายคน ขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด

นายสมหวัง กล่าวต่อว่า ขอให้ประชาชนเข้าใจว่าปลาชะโดหรือปลาช่อน เป็นปลาที่กิน กุ้ง หอย ปู ปลา ด้วยกัน  ซึ่งปัจจุบันปลาชะโดไม่เป็นที่นิยมของผู้บริโภค เพราะเนื้อปลาชะโด จะอร่อยน้อยกว่าปลาช่อน ซึ่งที่ผ่านมาบางจังหวัดมีการเลี้ยงปลาชะโดส่งออกไปยังประเทศสิงคโปร์ เพราะเขาชอบเนื้อปลาชะโดมากกว่าปลาช่อน ซึ่งต่างกับคนไทยจะนิยมรับประทานปลาช่อนมากกว่า หากปลาชะโดโตเต็มที่น้ำหนักเป็น 10 กก. ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับว่าที่อยู่อาศัย อาหารสมบูรณ์ และขอย้ำว่าปลาชะโดจะไม่ทำร้ายคนแน่นอน
   
Share:

ชาวเชียงใหม่แห่กินเจกันคึกคัก

วันนี้ ( 13 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวเดลินิวส์ จ.เชียงใหม่ รายงานว่า ขณะนี้กลุ่มประชาชนในจังหวัดเชียงใหม่ เริ่มคึกคักและหันมากินเจกันมากขึ้น เพราะราคาผักในจังหวัดเชียงใหม่ราคาถูก เพราะน้ำไม่ท่วมทำให้ผักมีจำนวนมาก

นางสาวอาภา แสนเมือง อายุ 40 ปี ซึ่งเป็นแม่ค้าจำหน่ายอาหารเจ รายใหญ่ภายในตลาดศิริวัฒนา ต.ช้างเผือก อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ได้เปิดเผยว่า ได้ขายอาหารที่ตลาดแห่งนี้มากว่า 15 ปีแล้ว ซึ่งปกติจะขายอาหารทั่วไป แต่เมื่อถึงช่วงของเทศกาลกินเจ ทางร้านก็จะเปลี่ยนมาขายอาหารเจทุกปี ซึ่งปีนี้ราคาของผัก ที่ซื้อมาทำอาหารเจ นั้นถือว่าราคาไม่สูงมากนัก จะมีราคาผักบางอย่างเท่านั้นที่มีราคาแพงขึ้น คือ กะหล่ำ มะระ ผักขึ้นฉ่าย ซึ่งจะแพงขึ้นเพียงแค่ 15 - 20 บาท ส่วนผักอื่นๆ ก็มีราคาต่ำลง หรือราคาเท่าเดิม อย่างมะเขือเทศ ก็เหลือถุงละ 40 - 50 บาท ถุงหนึ่งมี 5 - 10 กิโลกรัม ซึ่งภาพรวมราคาผักขายกัน 5 - 10 กิโลกรัมต่อถุง จะไม่เกิน 90 บาท จึงปีนี้ถือว่าราคาผักเป็นที่น่าพอใจ แต่ทั้งนี้ก็ยังคงเป็นช่วงของการเริ่มต้นการกินเจเท่านั้น ราคาผักจึงยังไม่สูง และอีกสาเหตุหนึ่งคาดว่า ปีนี้น้ำไม่ท่วมจึงทำให้ผักมีราคาที่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา จึงทำให้ปีนี้มีกลุ่มลูกค้าหันมาซื้ออาหารเจ เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นทางร้านจึงขายอาหารไม่แพง อย่างละ 25 - 30 บาท

ด้านนายศรีรัตน์ บุญตอม อายุ 43 ปี ซึ่งเป็นพ่อค้าภายในตลาดสดเมืองใหม่ ต.ช้างเผือก อ.เมือง จ.เชียงใหม่ เปิดเผยว่า ขายส่งผักมานานกว่า 10 ปีแล้ว ซึ่งเป็นผู้ปลูกเองขายเอง และส่วนใหญ่ผู้ที่นำผักมาขายที่ตลาดแห่งนี้ก็จะเป็นผู้ที่ปลูกเองทั้งสิ้น สำหรับราคาผัก ในช่วงของเทศกาลกินเจปีนี้ ราคาผักไม่สูง และราคาไม่ค่อยดีเท่าไหร่ มีผักบางอย่างที่ขายดีและขึ้นราคาได้ก็จะมีเพียง มะระ ผักขึ้นฉ่าย กะหล่ำ ผักกาดขาว ส่วนผักอื่นๆ ก็มีราคาเท่าเดิม หรือถูกลงก็มี สาเหตุที่ราคาผักในปีนี้ไม่สูงนั้นก็มาจากหลายอย่าง และที่สำคัญที่สุดคือน้ำไม่ท่วม ฝนตกก็ไม่ได้เยอะเหมือนปีที่ผ่านมา ทำให้ผักมีจำนวนมากขึ้น แทบจะล้นตลาด ดังนั้นราคาผักจึงไม่สูง ทำให้กลุ่มพ่อค้าแม่ค้า ที่มาซื้อแล้วไปขายปลีกก็ได้กำไรเพิ่มมากขึ้น กลุ่มลูกค้าที่ซื้อผักไปทำอาหารเจทานก็ได้ราคาที่ถูกเช่นกัน.
Share:

คนร้ายบุกเดี่ยวถือปืนจี้ชิงทรัพย์ร้านเซเว่นฯกลางเมืองเชียงใหม่ รับวันตำรวจ


วันนี้ ( 13 ต.ค. ) ร.ต.ท.จีรศักดิ์ นาคำ ร้อยเวร สภ.เมือง จ.เชียงใหม่ ได้รับแจ้งเหตุคนร้ายบุกเดี่ยวใช้อาวุธปืนจี้ชิงทรัพย์พนักงานร้านสะดวกซื้อ เซเว่นอีเลฟเว่น สาขาศรีปิงเมือง ต.หายยา อ.เมือง จ.เชียงใหม่ หลังได้รับแจ้ง ไปตรวจสอบยังสถานที่เกิดเหตุ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.เมือง จ.เชียงใหม่ พบกับนางสาวกษิรา  ซ่อนทรัพย์อนันต์ อายุ 30 ปี พนักงานในร้านยืนรอเจ้าหน้าที่อยู่

จากการสอบถามนางสาวกษิรา ให้การว่า ก่อนเกิดเหตุได้อยู่ที่หน้าร้านเพียงคนเดียว ส่วนอีกคนซึ่งเป็นผู้ชายกำลังเช็คของอยู่ด้านหลังร้าน ซึ่งต่อมานั้นได้มีคนร้ายเป็นชาย 1 คน อายุประมาณ 20 – 25 ปี ลักษณะการแต่งกายสวมเสื้อคุลมลายพรางทหาร กางเกงขายาว สวมหมวกกันน็อกปิดบังใบหน้า และในมือขวาถืออาวุธปืน ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นขนาดอะไร ชนิดอะไร เดินเข้ามาและใช้อาวุธปืนชี้มาที่ตนซึ่งยืนอยู่ที่เคาท์เตอร์ แล้วบังคับให้เปิดช่องเก็บเงินและเอาเงินออกมาให้ ซึ่งขณะนั้นตนไม่กล้าโวยวายและเรียกเพื่อนที่อยู่หลังร้านออกมาช่วย เพราะเกรงว่าจะถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนยิง จึงได้จำใจเปิดช่องเก็บเงินตามที่คนร้ายบอก ซึ่งมีเงินสดประมาณ 700–800 บาท เมื่อได้เงินไปแล้ว คนร้ายรีบเดินออกจากร้านไปด้วยความใจเย็น ก่อนที่จะขี่รถจักรยานยนต์ที่จอดอยู่หน้าร้านหลบหนีไป จึงได้รีบตะโกนบอกเพื่อนที่อยู่หลังร้านให้ออกมา และรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ทราบดังกล่าว ต่อมาทางเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดของทางร้าน ก็พบว่าคนร้ายใช้เวลาลงมือประมาณ 2 นาที ก่อนจะหลบหนีไป

หลังการสอบสวนแล้วในเบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ได้ขอเทปวงจรปิดดังกล่าวมาใช้ เป็นหลักฐาน และการกระทำของคนร้ายรายนี้ถือว่าเป็นการกระทำที่อุกอาจมาก เพราะได้ก่อเหตุในช่วงใกล้เช้า ที่ถือเป็นวันตำรวจด้วย ซึ่งคนร้ายอาจคิดว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจคงจะยุ่งและเตรียมการจัดงานในวันสำคัญ เนื่องในวันตำรวจอยู่ จึงได้มาก่อเหตุดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตามขณะนี้ภาพวงจรปิดที่ได้มา ยังไม่สามารถที่จะระบุตัวคนร้ายได้ชัดเจน เนื่องจากเป็นภาพมุมสูง อีกทั้งคนร้ายได้สวมหมวกกันน็อกด้วย ซึ่งจะได้ประสานไปยังบริเวณใกล้เคียงกับจุดเกิดเหตุว่าที่ใดมีกล้องวงจรปิด บ้าง เพื่อจะได้นำมาประกอบกัน และใช้เป็นหลักฐานติดตามหาคนร้ายที่ก่อเหตุเย้ยกฎหมายในครั้งนี้มาดำเนินคดี ตามกฎหมายต่อไป.
Share:

คนร้ายบุกเดี่ยวถือปืนจี้ชิงทรัพย์ร้านเซเว่นฯกลางเมืองเชียงใหม่ รับวันตำรวจ


วันนี้ ( 13 ต.ค. ) ร.ต.ท.จีรศักดิ์ นาคำ ร้อยเวร สภ.เมือง จ.เชียงใหม่ ได้รับแจ้งเหตุคนร้ายบุกเดี่ยวใช้อาวุธปืนจี้ชิงทรัพย์พนักงานร้านสะดวกซื้อ เซเว่นอีเลฟเว่น สาขาศรีปิงเมือง ต.หายยา อ.เมือง จ.เชียงใหม่ หลังได้รับแจ้ง ไปตรวจสอบยังสถานที่เกิดเหตุ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.เมือง จ.เชียงใหม่ พบกับนางสาวกษิรา  ซ่อนทรัพย์อนันต์ อายุ 30 ปี พนักงานในร้านยืนรอเจ้าหน้าที่อยู่

จากการสอบถามนางสาวกษิรา ให้การว่า ก่อนเกิดเหตุได้อยู่ที่หน้าร้านเพียงคนเดียว ส่วนอีกคนซึ่งเป็นผู้ชายกำลังเช็คของอยู่ด้านหลังร้าน ซึ่งต่อมานั้นได้มีคนร้ายเป็นชาย 1 คน อายุประมาณ 20 – 25 ปี ลักษณะการแต่งกายสวมเสื้อคุลมลายพรางทหาร กางเกงขายาว สวมหมวกกันน็อกปิดบังใบหน้า และในมือขวาถืออาวุธปืน ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นขนาดอะไร ชนิดอะไร เดินเข้ามาและใช้อาวุธปืนชี้มาที่ตนซึ่งยืนอยู่ที่เคาท์เตอร์ แล้วบังคับให้เปิดช่องเก็บเงินและเอาเงินออกมาให้ ซึ่งขณะนั้นตนไม่กล้าโวยวายและเรียกเพื่อนที่อยู่หลังร้านออกมาช่วย เพราะเกรงว่าจะถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนยิง จึงได้จำใจเปิดช่องเก็บเงินตามที่คนร้ายบอก ซึ่งมีเงินสดประมาณ 700–800 บาท เมื่อได้เงินไปแล้ว คนร้ายรีบเดินออกจากร้านไปด้วยความใจเย็น ก่อนที่จะขี่รถจักรยานยนต์ที่จอดอยู่หน้าร้านหลบหนีไป จึงได้รีบตะโกนบอกเพื่อนที่อยู่หลังร้านให้ออกมา และรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ทราบดังกล่าว ต่อมาทางเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดของทางร้าน ก็พบว่าคนร้ายใช้เวลาลงมือประมาณ 2 นาที ก่อนจะหลบหนีไป

หลังการสอบสวนแล้วในเบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ได้ขอเทปวงจรปิดดังกล่าวมาใช้ เป็นหลักฐาน และการกระทำของคนร้ายรายนี้ถือว่าเป็นการกระทำที่อุกอาจมาก เพราะได้ก่อเหตุในช่วงใกล้เช้า ที่ถือเป็นวันตำรวจด้วย ซึ่งคนร้ายอาจคิดว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจคงจะยุ่งและเตรียมการจัดงานในวันสำคัญ เนื่องในวันตำรวจอยู่ จึงได้มาก่อเหตุดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตามขณะนี้ภาพวงจรปิดที่ได้มา ยังไม่สามารถที่จะระบุตัวคนร้ายได้ชัดเจน เนื่องจากเป็นภาพมุมสูง อีกทั้งคนร้ายได้สวมหมวกกันน็อกด้วย ซึ่งจะได้ประสานไปยังบริเวณใกล้เคียงกับจุดเกิดเหตุว่าที่ใดมีกล้องวงจรปิด บ้าง เพื่อจะได้นำมาประกอบกัน และใช้เป็นหลักฐานติดตามหาคนร้ายที่ก่อเหตุเย้ยกฎหมายในครั้งนี้มาดำเนินคดี ตามกฎหมายต่อไป.
Share:

คนร้ายบุกเดี่ยวถือปืนจี้ชิงทรัพย์ร้านเซเว่นฯกลางเมืองเชียงใหม่ รับวันตำรวจ


วันนี้ ( 13 ต.ค. ) ร.ต.ท.จีรศักดิ์ นาคำ ร้อยเวร สภ.เมือง จ.เชียงใหม่ ได้รับแจ้งเหตุคนร้ายบุกเดี่ยวใช้อาวุธปืนจี้ชิงทรัพย์พนักงานร้านสะดวกซื้อ เซเว่นอีเลฟเว่น สาขาศรีปิงเมือง ต.หายยา อ.เมือง จ.เชียงใหม่ หลังได้รับแจ้ง ไปตรวจสอบยังสถานที่เกิดเหตุ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.เมือง จ.เชียงใหม่ พบกับนางสาวกษิรา  ซ่อนทรัพย์อนันต์ อายุ 30 ปี พนักงานในร้านยืนรอเจ้าหน้าที่อยู่

จากการสอบถามนางสาวกษิรา ให้การว่า ก่อนเกิดเหตุได้อยู่ที่หน้าร้านเพียงคนเดียว ส่วนอีกคนซึ่งเป็นผู้ชายกำลังเช็คของอยู่ด้านหลังร้าน ซึ่งต่อมานั้นได้มีคนร้ายเป็นชาย 1 คน อายุประมาณ 20 – 25 ปี ลักษณะการแต่งกายสวมเสื้อคุลมลายพรางทหาร กางเกงขายาว สวมหมวกกันน็อกปิดบังใบหน้า และในมือขวาถืออาวุธปืน ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นขนาดอะไร ชนิดอะไร เดินเข้ามาและใช้อาวุธปืนชี้มาที่ตนซึ่งยืนอยู่ที่เคาท์เตอร์ แล้วบังคับให้เปิดช่องเก็บเงินและเอาเงินออกมาให้ ซึ่งขณะนั้นตนไม่กล้าโวยวายและเรียกเพื่อนที่อยู่หลังร้านออกมาช่วย เพราะเกรงว่าจะถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนยิง จึงได้จำใจเปิดช่องเก็บเงินตามที่คนร้ายบอก ซึ่งมีเงินสดประมาณ 700–800 บาท เมื่อได้เงินไปแล้ว คนร้ายรีบเดินออกจากร้านไปด้วยความใจเย็น ก่อนที่จะขี่รถจักรยานยนต์ที่จอดอยู่หน้าร้านหลบหนีไป จึงได้รีบตะโกนบอกเพื่อนที่อยู่หลังร้านให้ออกมา และรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ทราบดังกล่าว ต่อมาทางเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดของทางร้าน ก็พบว่าคนร้ายใช้เวลาลงมือประมาณ 2 นาที ก่อนจะหลบหนีไป

หลังการสอบสวนแล้วในเบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ได้ขอเทปวงจรปิดดังกล่าวมาใช้ เป็นหลักฐาน และการกระทำของคนร้ายรายนี้ถือว่าเป็นการกระทำที่อุกอาจมาก เพราะได้ก่อเหตุในช่วงใกล้เช้า ที่ถือเป็นวันตำรวจด้วย ซึ่งคนร้ายอาจคิดว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจคงจะยุ่งและเตรียมการจัดงานในวันสำคัญ เนื่องในวันตำรวจอยู่ จึงได้มาก่อเหตุดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตามขณะนี้ภาพวงจรปิดที่ได้มา ยังไม่สามารถที่จะระบุตัวคนร้ายได้ชัดเจน เนื่องจากเป็นภาพมุมสูง อีกทั้งคนร้ายได้สวมหมวกกันน็อกด้วย ซึ่งจะได้ประสานไปยังบริเวณใกล้เคียงกับจุดเกิดเหตุว่าที่ใดมีกล้องวงจรปิด บ้าง เพื่อจะได้นำมาประกอบกัน และใช้เป็นหลักฐานติดตามหาคนร้ายที่ก่อเหตุเย้ยกฎหมายในครั้งนี้มาดำเนินคดี ตามกฎหมายต่อไป.
Share:

ทลายรังแชร์ลูกโซ่โคราชเหยื่อ200รายแตกกระเจิง


วันนี้( 13 ต.ค.) พ.ต.อ.พงษ์เดช พรหมมิจิตร รอง ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา พร้อมด้วย พ.ต.อ.ชลาสินธุ์ ชลาลัย  ผกก.สส.ภ.จว.นครราชสีมา นำกำลังบุกเข้าไปยังห้องประชุมภายในอาคารแพทตินั่ม ถนนสุระนารายณ์ ต.ในเมือง อ.เมืองนครราชสีมา หลังจากที่มีสายข่าวรายงานว่าเป็นแหล่งที่ใช้ในการนัดพบกันของแม่ข่ายและลูก ข่ายธุรกิจแชร์ลูกโซ่ เครือข่ายบริษัท ดิจิตอลคราวน์ โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทแชร์ลูกโซ่ขายตะเกียงน้ำมันหอมระเหยฉ้อโกงประชาชน ที่ถูกเจ้าหน้าที่ดีเอสไอและเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.มักกะสัน บุกเข้าทำการจับกุมสำนักงานใหญ่เมื่อวันที่ 12 ต.ค. ที่ผ่านมา
โดยภายในห้องประชุมพบบรรดาแม่ข่าย ลูกข่าย รวมถึงผู้ที่ประสงค์ที่จะเข้าร่วมขบวนการรายใหม่รวมกว่า 200 คน กำลังจับกลุ่มพูดคุยสัมมนาเพื่อเรียนรู้วิธีการดำเนินธุรกิจ พร้อมกับมีสินค้าตะเกียงน้ำมัน ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการประกาศแจ้งให้ทางผู้ที่อยู่ภายในห้องประชุมทราบ ว่า สำนักใหญ่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจทำการจับกุมและอยู่ในระหว่างการดำเนินคดี จากนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งถึงสิทธิผู้ที่อยู่ในห้องประชุมว่า เป็นผู้เสียหายถูกทางบริษัทล่อลวง และหากผู้เสียหายที่ต้องการเงินที่หลอกให้ซื้อสินค้าคืน ให้ไปแจ้งความกับทางเจ้าหน้าทีตำรวจที่ สภ.เมืองนครราชสีมา ได้ในวันที่ 15 ต.ค.ก่อนที่จะทำการตรวจยึดสินค้าทั้งหมดมาไว้เป็นหลักฐาน
ต่อมาทางเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนสอบสวนจังหวัดนครราชสีมา ได้นำหมายค้นศาลแขวงนครราชสีมา เลขที่ ค 139 / 2555 ลงวันที่ 13 ต.ค. เข้าตรวจค้น สำนักงานย่อย บ.ดิจิตอลคราวน์ โฮลดิ้ง จำกัด อาคารราชสีมาเซ็นเตอร์ ชั้น 2 เลขที่ 154/1 ต.ในเมือง อ.เมืองนครราชสีมา ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดที่ใช้เป็นสถานที่นัดพบของเครือข่ายแชร์ลูกโซ่ และเป็นสถานที่เก็บและจำหน่ายสินค้า โดยมีสินค้าส่วนหนึ่งถูกเก็บในตู้กระจกอย่างสวยงาม โดยจากการสังเกตในห้องประชุมดังกล่าวยังพบว่ามีป้ายประกาศห้ามถ่ายภาพ ห้ามใช้โทรศัพท์อย่างเด็ดขาด โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการตรวจยึดสินค้าไว้ตรวจสอบที่ สภ.เมืองนครราชสีมา เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ด้านนางกรอาภา คุณาชนะ อายุ 47 ปี ซึ่งเป็นผู้เสียหายที่ถูกบริษัทดังกล่าวหลอกให้ลงทุน เปิดเผยว่า บริษัทดังกล่าวหลอกให้ลงทุนไปเกือบ 2 แสนบาท โดยสมัครเป็นค่าสมาชิก 1.2 หมื่นบาท แต่หากต้องการได้ผลตอบแทนสูงต้องลงทุนมาก จึงซื้อสินค้าไปเป็นเงินเกือบ 2 แสนบาท ซึ่งหลังจากที่ลงทุนไปประมาณ 3 เดือน ไม่พบว่าได้ผลตอบแทนตามที่คาดและรู้ว่าน่าจะเป็นขบวนการแชร์ลูกโซ่  จึงต้องการขอคืนสินค้าเพื่อให้ได้เงินคืนบางส่วนซึ่งได้ทำการติดต่อกับ บริษัทเมื่อ เดือน พ.ค.ที่ผ่านมา โดยในตอนแรกทางตัวแทนบริษัทได้นัดผลัดมาเรื่อย และมีนัดอีกครั้งว่าจะให้คืนในเดือนหน้า จากนั้นจึงมาเกิดเรื่องขึ้น จึงได้เดินทางมาตามเรื่องและเตรียมเข้าแจ้งความที่ สภ.เมืองนครราชสมีมา  เพื่อดำเนินคดีกับบริษัทดังกล่าวตามกฎหมาย โดยส่วนตนคิดว่าไม่น่าจะได้เงินคืนแล้ว แต่ก็อยากให้ผู้ที่กำลังทำธุรกิจร่วมกับบริษัทดังกล่าวได้รู้ตัวและเข้าแจ้ง ความเพิ่มเติมด้วย
   
Share:

โปลิศศรีสะเกษตั้งด่านคุมเข้มหวั่นข้าวเปลือกต่างประเทศสวมสิทธิไทย


วันนี้( 13 ต.ค.) ที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ   เจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัด ภ.จว.ศรีสะเกษ ร่วมกันประกอบพิธีถวายสัตยาบรรณ และรับฟังสาร จาก พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงห์แก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เนื่องในวันตำรวจแห่งชาติ เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่ จากนั้น พล.ต.ต.พงษ์วุฒิ พงษ์ศรี ผบก.ภ.จว.ศรีษะเกษ ได้มอบโล่ห์ประกาศเกียรติคุณ ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 6 นาย เพื่อเป็นเกียรติประวัติ และขวัญกำลังใจ ในการปฏิบัติหน้าที่ต่อไป
จากนั้น พล.ต.ต.พงษ์วุฒิ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุก สภ. ในพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ โดยเฉพาะพื้นที่ตามแนวชายแดน ตั้งด่านสกัด และตรวจค้น ตามจุดตรวจเฝ้าระวังต่างๆ ป้องกันการลักลอบขนข้าวเปลือกจากต่างประเทศเข้ามา เพื่อนำมาสวมสิทธิ ในโครงการประกันราคาข้าว โดยกำชับให้เพิ่มความเข้มงวดในการตั้งจุดตรวจตามเส้นทางถนนสายหลัก และถนนสายรอง โดยเฉพาะทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข 24 และ 226 ตลอด 24 ชม. เนื่องจาก จ.ศรีสะเกษ มีพื้นที่ติดแนวชายแดน จึงต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้าวเปลือกจากต่างประเทศ และเพื่อเป็นการสนองตามนโยบายของรัฐบาลอย่างเต็มที่.
Share:

โปลิศศรีสะเกษตั้งด่านคุมเข้มหวั่นข้าวเปลือกต่างประเทศสวมสิทธิไทย


วันนี้( 13 ต.ค.) ที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ   เจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัด ภ.จว.ศรีสะเกษ ร่วมกันประกอบพิธีถวายสัตยาบรรณ และรับฟังสาร จาก พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงห์แก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เนื่องในวันตำรวจแห่งชาติ เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่ จากนั้น พล.ต.ต.พงษ์วุฒิ พงษ์ศรี ผบก.ภ.จว.ศรีษะเกษ ได้มอบโล่ห์ประกาศเกียรติคุณ ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 6 นาย เพื่อเป็นเกียรติประวัติ และขวัญกำลังใจ ในการปฏิบัติหน้าที่ต่อไป
จากนั้น พล.ต.ต.พงษ์วุฒิ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุก สภ. ในพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ โดยเฉพาะพื้นที่ตามแนวชายแดน ตั้งด่านสกัด และตรวจค้น ตามจุดตรวจเฝ้าระวังต่างๆ ป้องกันการลักลอบขนข้าวเปลือกจากต่างประเทศเข้ามา เพื่อนำมาสวมสิทธิ ในโครงการประกันราคาข้าว โดยกำชับให้เพิ่มความเข้มงวดในการตั้งจุดตรวจตามเส้นทางถนนสายหลัก และถนนสายรอง โดยเฉพาะทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข 24 และ 226 ตลอด 24 ชม. เนื่องจาก จ.ศรีสะเกษ มีพื้นที่ติดแนวชายแดน จึงต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้าวเปลือกจากต่างประเทศ และเพื่อเป็นการสนองตามนโยบายของรัฐบาลอย่างเต็มที่.
Share:

วันตำรวจจับ 4 ผู้ค้ายึดยาบ้า-ไอซ์อื้อ


วันนี้ ( 13 ต.ค.) พ.ต.อ.ชินวิ วิโยธนะภัทร์ รอง ผบก.สส.ภาค 5 สั่งการให้ พ.ต.ต.นพฤทธิ์ กันทา สว.กก.2 บก.สส.ภ.5 พร้อมชุดสืบสวน ไปประสานขอกำลังตำรวจจาก  พล.ต.ต.วันชัย สุวรรณศิริเขต ผบก.ภ.จว.เชียงราย เนื่องจากสืบทราบว่า มีขบวนการค้ายาเสพติดเป็นเครือข่ายของผู้ต้องขังในเรือนจำกลาง จ.เชียงราย จึงทำการติดต่อล่อสั่งซื้อยาบ้าและยาไอซ์ทางโทรศัพท์มือถือจาก นายพีระนพ อเนกกิจสมบูรณ์ “หนู” ซึ่งเป็นผู้ต้องขังในคดียาเสพอยู่ในเรือนจำกลางเชียงราย โดยตกลงซื้อขายยาบ้า-ยาไอซ์ เป็นเงิน 600,000บาท และนัดหมายมารับของที่บริเวณลานจอดรถของห้างบิ๊กซี เชียงราย
ต่อมา พบน.ส.จิราภา ผูกพัน อายุ 28 ปี อยู่บ้านเลขที่ 803/3 ม.9 ต.ปุ่ง อ.เมือง จ.อำนาจเจริญ ขับขี่รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเวฟ สีดำ ทะเบียน คพม 688 เชียงราย มาพบกับสายของตำรวจที่ปลอมตัวเป็นพ่อค้าสั่งซื้อยาบ้า พร้อมให้ผู้ซื้อขับรถติดตามไปถึงสี่แยกแม่กรณ์ ทางเข้าตัวเมืองเชียงราย ต่อมา น.ส.จิราภา จึงได้เดินไปที่รถยนต์ปิกอัพ ยี่ห้อมิตซูบิชิ รุ่นสตราด้า สีเทา-ฟ้า ทะเบียน 4850 เชียงราย พร้อมหยิบถุงพลาสติกขนาดใหญ่ที่ภายในบรรจุยาบ้าจำนวน 8,000 เม็ด และยาไอซ์อีก 100 กรัม ให้กับสายของตำรวจ จึงถูกรวบตัวไว้

ต่อมาสามารถจับกุมตัว นายพงศ์ศักดิ์ ประมวล อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 125 หมู่ที่ 1 ต.แม่ยาว อ.เมือง จ.เชียงราย และนายขจรศักดิ์ ประมวล อายุ 30 ปี อยู่บ้านเลขที่ 119 หมู่บ้านเดียวกัน ทั้ง 2 เป็นพี่น้องกัน และขณะที่นั่งรออยู่ในรถยนต์ปิกอัพมิตซูบิชิคันที่นำยาเสพติดมาส่ง ให้การรับสารภาพว่ารับจ้างจาก นายจะทอ ปู่เหล็ก อายุ 38 ปี  อาชีพขายรถยนต์มือสอง อยู่บ้านเลขที่ 411 ม.13 บ้านห้วยทรายขาว ต.แม่ยาว อ.เมือง จ.เชียงราย ในราคา 10,000 บาท ให้มาส่งให้ลูกค้าที่สี่แยกแม่กรณ์  และถูกจับกุมได้เป็นคนที่ 4 และจะออกติดตามจับกุมนายพีระนพ ที่ถูกขังอยู่ในเรือนจำมาเพิ่มข้อหา จากนั้น จึงนำ 4 ผู้ต้องหาพร้อมของกลาง ส่ง ร.ต.ต.สมัย ไทยทาน ร้อยเวร สภ.เมืองเชียงราย ดำเนินคดี “ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษ ประเภท 1 (ยาบ้า,ยาไอซ์) ไว้ในความครอบครองโดยผิดกฎหมาย เพื่อจำหน่าย”.
Share:

อดีตส.ส.กรุงเก่าพรรคเพื่อไทยยอมรับตบส.จ.จริง


จากกรณีที่  อดีต ส.ส.พระนครศรีอยุธยา พรรคเพื่อไทย ก่อเหตุตบนายนวพร ผ่องวาสนา ส.จ.พระนครศรีอยุธยา ระหว่างพิธีฌาปนกิจศพนายเกิน บุญเสริม  เหตุเกิดบนเมรุวัดลอดช่อง หมู่ 8 ต.บ้านป้อม อ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 10 ต.ค.ที่ผ่านมา ทำให้นายนวพร ต้องเข้าแจ้งความกับตำรวจ สภ.พระนครศรีอยุธยา เนื่องจากเกิดความอับอาย เบื้องต้นตำรวจได้ส่งตัวนายนวพร ไปให้แพทย์ตรวจสอบร่องรอยถูกทำร้าย เพื่อที่จะเรียกตัวอดีต ส.ส.คนดังกล่าวมาดำเนินคดี ตามที่เสนอข่าวไปนั้น
         
วันนี้( 13 ต.ค.) อดีต ส.ส.พระนครศรีอยุธยา ที่ก่อเหตุ เปิดเผยว่า หลังเกิดเหตุได้เดินทางไปที่ สภ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อแจ้งกับตำรวจว่านายนวพรได้กล่าวพาดพิงถึงตนเองหลายครั้ง ว่าตนเองจะจ้างคนมายิงนายนวพร เนื่องจากความแค้นส่วนตัว ทำให้ต้องมาลงบันทึกเอาไว้เป็นหลักฐาน เนื่องจากหากนายนวพรเป็นอะไรไปยืนยันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ซึ่งจากการที่นายนวพรไปพูดตามสถานที่ต่างๆนั้นเอง ยอมรับว่าไม่พอใจ เมื่อพบนายนวพรจึงได้ตบไป 1 ครั้ง ซึ่งก็ยอมรับแบบลูกผู้ชาย แต่ไม่ได้โกรธเรื่องที่นายนวพร ลงรับสมัครเลือกตั้ง ส.จ.แข่งกับภรรยา แต่อย่างใด เพราะนั่นเป็นเรื่องของการแข่งขัน  และไม่เคยข่มขู่นายนวพรแต่อย่างใด

ด้านนายนวพร เปิดเผยว่าหลังจากเกิดเหตุ ไปให้แพทย์ตรวจสอบร่างกาย จากนั้นก็ไปพบพนักงานสอบสวน โดยยืนยันว่าถูกอดีต ส.ส.ท่านนี้ทำร้ายต่อหน้าประชาชนทำให้เกิดความอับอาย ส่วนเรื่องที่คิดว่าอดีต ส.ส.ท่านนี้โกรธที่แค้นเพราะไปแข่งเลือกตั้งกับภรรยาของเขา เป็นความคิดของตนเอง เพราะไม่เคยมีเรื่องอื่น แต่เมื่อบอกว่าตนเองไปพูดตามสถานที่ต่างๆว่าอดีต ส.ส.ท่านนี้จะจ้างวานคนมาทำร้ายนั้น ไม่เคยพูด มีแต่ อดีตส.ส.มาถามแล้วก็ทำร้าย ทำให้งงมาก ซึ่งหลังจากนี้ก็เป็นหน้าที่ของตำรวจที่จะดำเนินการตามกฎหมาย

ด้าน ร.ต.ท.สันติภาพ สุคนธ์ประดิษฐ์ พงส.(สบ.1) สภ.พระนครศรีอยุธยา เจ้าของคดีกล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบปากคำพยานในที่เกิดเหตุ ซึ่งทางผู้เสียหายได้พาจนท.ไปชี้จุดเกิดเหตุแล้ว เบื้องต้นผู้เสียหายบอกว่ามีพยานเห็นจำนวนมาก ซึ่งตำรวจต้องสอบหาพยานก่อน จากนั้นก็จะออกหมายเรียกอดีต ส.ส.ท่านนี้มาสอบสวนรับทราบข้อกล่าวหา หากยอมรับก็อาจจะจบแค่ปรับ แต่หากไม่รับสารภาพก็ต้องดำเนินการสืบสวนหาข้อเท็จจริงต่อไป
Share:

โจรใต้สุดเหี้ยมยิงเจ้าของสวนยางดับอนาถ


วันนี้( 13 ต.ค. ) พ.ต.ท.สมใจ สิงห์เกลี้ยง สารวัตรเวร สภ.ระแงะ จ.นราธิวาส ได้รับแจ้งเหตุคนถูกยิงภายในสวนยางพาราบ้านตอหลัง หมู่ 3 ต.ตันหยงลิมอ อ.ระแงะ จึงรีบไปตรวจสอบในที่เกิดเหตุพบศพนอนจมกองเลือดอยู่ข้างรถจยย.ยามาฮ่า สีแดง ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ทราบชื่อคือ นายสมาแอ รอยี อายุ 58 ปี เจ้าของสวนยางพารา อยู่บ้านเลขที่ 66 หมู่ 1 ต.ตันหยงลิมอ อ.ระแงะ มีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนพกไม่ทราบขนาด เข้าบริเวณท้ายทอยทะลุเบ้าตาซ้าย และแผ่นหลัง รวม 2 นัด จากการสอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุนายสมาแอผู้ตาย ได้ขี่รถจยย.ออกจากบ้านพักตามลำพัง เพื่อไปกรีดยางพารา เมื่อกรีดยางพาราแล้วเสร็จจึงขี่รถกลับบ้านพัก มาถึงที่เกิดเหตุได้มีคนร้ายไม่ทราบจำนวนแฝงตัวอยู่ในสวนยางพารา แล้วเดินถือปืนออกมาขวางถนนในสวนยางพารา ก่อนใช้อาวุธปืนจ่อยิงใส่ 2 นัด จนเสียชีวิตคารถจยย.
Share:

Disqus Shortname

Comments system

ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ บางกะปิ 095-954-4524

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

Blog Archive

Post Top Ad

คลังบทความของบล็อก

Author Details

Menu - Pages

Business

Random Posts

Recent

Popular

Blog Archive