ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ บางกะปิ
www.becomz.com

  • ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ บางกะปิ รามคำแหง

    ซ่อมคอมถึงบ้าน,ซ่อมคอมพิวเตอร์ถึงบ้าน,ซ่อมคอมนอกสถานที่,ซ่อมคอมพิวเตอร์ นอกสถานที่,วางระบบอินเตอร์เน็ต,วางระบบแลน,ระบบเน็คเวิร์ค,เขียนโปรแกรมเว็บไซด์,ดูแลคอมพิวเตอร์แบบรายเดือน-รายปี,พร้อมบริการด้านไอทีจ่าย. สนใจติดต่อ 095-954-4524

  • หากคุณกำลังมองหาสถานที่ รับซ่อมคอมถึงที่

    ราคือหน่วยรับซ่อมคอมพิวเตอร์ถึงที่ ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน ที่ทำงาน บริษัท ห้าง ร้าน สถานสงเคราะห์ โรงเรียน โรงพยาบาล ฯลฯ เราจะไปบริการซ่อมให้ในราคาสุดประหยัด ถูกกว่ายกไปซ่อมที่ห้างหรือร้านซ่อมแน่นอน เนื่องจากทางร้านของเราไม่ต้องเสียค่าเช่าพื้นที่ จึงสามารถลดต้นทุนในส่วนนี้ได้. สนใจติดต่อ 095-954-4524

  • www.becomz.com ให้บริการถึงที่

    บริการซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ โดยไม่ต้องยก เครื่องคอมให้เหนื่อย หรือ เสียเวลา การทำงานของคุณ เรา คือ ทางออกสำหรับคุณ ที่จะไป บริการถึงบ้าน ที่บ้าน หรือ อ๊อฟฟิต ( office ) และ คอนโด อาพาทเม้น ทุกสถานที่ พร้อม ทั้ง ให้ บริการซ่อมคอมพิวเตอร์ 24 ชั่วโมง สำหรับ ลูกค้าบางท่านที่สะดวก. สนใจติดต่อ 095-954-4524

  • ค่าบริการ

    – ซ่อมโปรแกรม แก้ปัญหาด้านโปรแกรมทั่วไป เครื่องละ 500 บาท – เเละลง Driver 300 บาท รวมกับ ซ่อมปกติเป็น 700 บาท – อะไหล่เสีย จะแจ้งราคาอะไหล่ก่อนซ่อม (ลูกค้าสามารถจัดหาอะไหล่เองได้) เพื่อความมั่นใจ ซ่อมเสร็จเรารับประกันซอฟเเวร์ 7วัน พร้อมให้คำแนะนำ และบริการหลังซ่อม ตลอดการรับประกันน ติดตั้งให้ถึงที่ .สนใจติดต่อ 095-954-4524

  • รับซ่อมทุกปัญหา โทรมาคุยกันก่อนได้ครับ

    – บริการอัพเกรดเครื่อง แก้ปัญหาเครื่องช้า รวนบ่อย ค้างบ่อย – บริการติดตั้ง แก้ปัญหา ระบบคอมพิวเตอร์ ระบบแลน-อินเตอร์เน็ต – บริการลงวินโดว์, ลงโปรแกรม, แก้ไวรัส, แก้ปัญหาต่างๆ – บริการฝากซ่อม-เคลม อะไหล่คอมฯ และสินค้าไอที ทุกชนิด – บริการจัดสเป๊คเครื่อง จัดชุดคอมมือ1-2 พร้อมใช้งาน ติดตั้งให้ถึงที่ .สนใจติดต่อ 095-954-4524

วันอาทิตย์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2556

ดักยิงถล่มช่างรับเหมาร่างพรุน 6 นัด ไม่ชัดเหตุสังหาร

เมื่อวันที่ 1 เม.ย.  ร.ต.อ.มนตรี ปานอ่วม ร้อยเวร สภ.พระพรหม จ.นครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 22.30 น.วันที่ 31 มี.ค. ได้รับแจ้งว่ามีเหตุยิงกันภายในบ้านเลขที่ 136/2 หมู่ 1 ต.ท้ายสำเภา อ.พระพรหม  จึงไปตรวจสอบพร้อมชุดสืบสวน แพทย์เวร รพ.มหาราช และมูลนิธิประชาร่วมใจ พบที่เกิดเหตุเป็นบ้านปูนชั้นเดียว หน้าห้องน้ำพบศพ นายมนตรี ทองแก้ว อายุ 32 ปี เจ้าของบ้าน มีบาดแผลถูกยิงด้วยปืนไม่ทราบขนาดเข้าที่ชายโครง หน้าท้อง แขนและขารวม 6 นัด เสียชีวิตจมกองเลือด
จากการสอบสวนทราบว่า ผู้ตาย มีอาชีพรับเหมาก่อสร้าง ก่อนเกิดเหตุในขณะที่กำลังนั่งพูดคุยปรึกษาหารือกันเรื่องงานรับเหมาร่วมกับภรรยาและญาติๆ อยู่ภายในห้องโถง จนกระทั่งได้ยินเสียงดังมาจากหน้าห้องน้ำที่อยู่หลังบ้าน ผู้ตายจึงเดินไปตรวจสอบ ก่อนจะถูกคนร้ายไม่ทราบจำนวนที่ดักซุ่มอยู่ชักปืนออกมายิงใส่จนเสียชีวิตคาที่ ก่อนวิ่งหลบหนีไป
เบื้องต้นสันนิษฐานว่า สาเหตุน่ามาจาก 3 เรื่อง คือเรื่องรับเหมาที่อาจแย่งรับเหมาตัดราคากับคู่แข่ง หรือความขัดแย้งส่วนตัว รวมทั้งการพนันด้วย ซึ่งจะสอบสวนเพื่อหาสาเหตุอย่างละเอียดอีกครั้งและรอผลการชันสูตรศพ เพื่อตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป.
Share:

บก.น.4แถลงระดมกวาดล้างอาชญากรรม

เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้ ( 31 มี.ค. ) ที่สน.โชคชัย พล.ต.ต.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผบก.น.4พร้อมเจ้าหน้าที่ร่วมกันแถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหา 3 คดี  คดีแรก ของสน.โชคชัย นำโดย พ.ต.อ.ธนวัตร วัฒนกุล ผกก.สน.โชคชัย พ.ต.ท.ศาสตร์ศักดิ์ ชัยประเสริฐ รองผกก.สส. พ.ต.ต.นเรนทร์ เครื่องสนุก สว.สส.พร้อมเจ้าหน้าที่ร่วมกันจับกุมนายณัฐวุฒิ หรือ ณัฐ เชื้อศร อายุ 22 ปี และนายเมธี หรือ ธี สาระโกศล อายุ 21 ปี พร้อมของกลางโทรศัพท์มือถือย ไอโมบาย รุ่นไอสไตล์ 2 สีขาว 1 เครื่อง โดยเหตุเกิดเมื่อวันที่ 30 มี.ค. น.ส.ปรียาภัทร์ สุวรรณม่วง อายุ 26 ปี ผู้เสียหายเดินอยู่ริมถนนลาดพร้าว ระหว่างซอยลาดพร้าว 48-50 ตรงข้ามตลาดสะพานสอง ผู้ต้องหาทั้งสองขี่จยย.มาจอด โดยมีนายณัฐวุฒิเป็นคนขี่ ส่วนนายเมธีคนซ้อนลงจากรถไปกระชากวิ่งราวโทรศัพท์มือถือไป ขณะกำลังจะวิ่งหนีนายเชาวรา จันทร์ทอง อายุ 29 ปี นักดนตรีมือเบสวงจอมยุทธ ซึ่งพึ่งจะเลิกเล่นดนตรีที่ร้านอาหารชายคา ย่านลาดพร้าว ขี่จยย.มาเห็นเหตุการณ์และได้ตรงเข้าไปพยายามจับกุมคนร้าย ปลุกปล้ำกับนายเมธีจนสามารถชิงโทรศัพท์คืนมาและยังจับนายณัฐวุฒิได้อีกด้วย แต่นายเมธีอาศัยจังหวะชลมุนหลบหนีไป ส่วนนายเชาวราได้รับบาดเจ็บกระดูกข้อเท้าแตกจากการตกบันไดได้รับบาดเจ็บต้องเข้าเฝือก ต่อมาเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมนายณัฐวุฒิได้ในที่สุดเมื่อวันที่ 30 มี.ค.นี้ สอบสวนพบว่าทั้งสองเคยโดนคดีเสพยาหลายครั้งที่สน.ดินแดง
เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ อ้างว่าเมาและอยากได้โทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ จึงตัดสินใจวิ่งราว ปกติจะทำงานเป็นเมสเซนเจอร์อยู่ย่านรัชดาภิเษก เจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาร่วมกันวิ่งราวทรัพย์แจ้งข้อหาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ส่วนนายเชาวราทางพล.ต.ต.นัยวัฒน์มอบเงินช่วยเหลือเป็นจำนวน 10,000 บาท

พล.ต.ต.นัยวัฒน์กล่าวต่อว่า คดีที่สอง ยังเป็นของสน.โชคชัย เจ้าหน้าที่จับกุมนายธงชัย หรือ ปอม ชมกลิ่น อายุ 25 ปี อดีตพระวัดสาครสุ่นประชาสรรค์ ฉายาเดิมคือ พระสุมโน พร้อมของกลางยาบ้า 70 เม็ด สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่รับแจ้งจากสายลับว่ามีพระเสพยาและจำหน่ายยาบ้า จึงนำกำลังเข้าจับกุม สอบสวนพบว่าก่อนหน้านี้ผู้ต้องหาเคยโดนจับกุมคดีลักษณะดังกล่าวที่สน.โคกครามและพึ่งมาบวชได้เพียง 8 เดือน เบื้องต้นแจ้งข้อหามียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมายและเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 ควบคุมตัวดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

พล.ต.ต.นัยวัฒน์กล่าวต่อว่า คดีสุดท้ายเป็นผลงานการจับกุมของพ.ต.ท.ประทวน พวงจำปา รองผกก.สส.บก.น.4  พ.ต.ท.พีรวัฒน์ สุขรมย์ สว.กก.สส.พร้อมเจ้าหน้าที่กก.สส.บก.น.4 ร่วมกันจับกุมนางกวิตา หรือ อ้อม คนมี อายุ 42 ปี น.ส.ขวัญตา หรือ แสง งามขำ อายุ 46 ปี น.ส.บุญเรือน หรือ อู๊ด รุ่งเจริญ อายุ 50 ปี พร้อมของกลางยาไอซ์ 1 กิโลกรัม ยาบ้าจำนวน 8,000 เม็ด โดยเจ้าหน้าที่รับแจ้งจากสายลับว่าเครือข่ายของนางอ้อม ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายยาเสพติดย่านคลองเตย จะนัดส่งมอบยาที่หน้าร้านโลตัส เอ็กเพลส กลางซอยอ่อนนุช 46 แขวงหนองบอน เขตประเวศ จึงนำกำลังไปซุ่ม พบนางอ้อม เดินมาคุยกับน.ส.ขวัญตาและน.ส.บุญเรือนได้ยื่นถุงผ้าให้ เจ้าหน้าที่จึงชาร์ทจับกุมทันที

ด้านพ.ต.ท.ประทวนกล่าวว่า สำหรับคดีนี้ เจ้าหน้าที่สืบทราบว่านางอ้อมจะชอบไปเล่นพนันบ่อนที่บ่อนแม่โห้ ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่เข้าทลายไปเป็นประจำ และเมื่อเงินหมด ก็จะขายยา โดยสั่งมาจากเครือข่ายภาคเหนือ โดยใช้วิธีการเอาหลานเขยของตัวเองไปเป็นตัวค้ำประกันไว้ ทางเครือข่ายไม่สนใจว่า การส่งยาจะถูกจับหรือไม่ แต่หากไม่ส่งเงินมา ก็จะจัดการตัวค้ำประกันทันที เบื้องต้นผู้ต้องหาทั้งหมดให้การรับสารภาพ เจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาไอซ์และยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
Share:

วันเสาร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2556

สั่งจำคุก"เสธ.ไก่"บุกปล้นบ้าน"สุพจน์ ทรัพย์ล้อม"

ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก  วันนี้(29 มี.ค.) ศาลอ่านคำพิพากษาคดีปล้นทรัพย์บ้านนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม หมายเลขดำ อ.347/2555 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 6 และนายสุพจน์ ร่วมเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสิงห์ทอง หรือ เสธ.ไก่ ใจชมชื่น นายเสาร์แก้ว นามวงค์  นายสมบูรณ์ หรือบูรณ์ ริยะเทน   นายบุญสืบ หรือสืบ โจมกัน  นายวุฒิชัย หรือวุฒิ พันธวารี  นายวณัญกฤต หรือจ่อย บุตรกันหา  นายประพันธ์ เรียงเครือ  นายชยธัช หรือ เอก จันนะชัย และ น.ส.วาสนา สาเพิ่มทรัพย์ เป็นจำเลยที่ 1 -   9 ตามลำดับ ในความผิดฐาน ร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธ โดยใช้ยานพาหนะ ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขัง กระทำให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพฯ ร่วมรับของโจร และร่วมกันพาอาวุธติดตัวไปในเมือง
โดยอัยการได้ยื่นฟ้องต่อศาลเมื่อวันที่ 9 ก.พ.55 ระบุความผิดสรุปว่า ระหว่างวันที่ 12 ก.พ. - 23 พ.ย. 2554 จำเลยกับพวกได้ร่วมกันบุกรุกเข้าไปในบ้านของนายสุพจน์ ในซอยลาดพร้าว 62 แขวงและเขตวังทองหลาง กทม. แล้วลักเงินสดกว่า18ล้านบาทไป โดยข่มขู่และทำร้ายนางจันทรา สังเกิด และน.ส. สาวิตตรี บุญอุ้ม ลูกจ้างของนายสุพจน์จนปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และใช้รถกระบะเป็นยานพาหนะช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่ายหรือรับไว้ด้วยประการใดๆ ซึ่งทรัพย์ดังกล่าว เหตุเกิดที่แขวงและเขตวังทองหลาง กทม. รวมทั้งในพื้นที่จ.กาญจนบุรี และ จ.เชียงราย
ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายแล้วเห็นว่าจำเลยที่1-3กระทำผิดตามฟ้องจริง พิพากษา ฐานร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธ และใช้ยานพาหนะ อันเป็นบทหนักสุดจำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 18 ปี ปรับ 90  บาท  จำเลยที่ 1 ให้การเป็นประโยชน์บ้างลดโทษให้ 1 ใน 3  คงจำคุกไว้ 12 ปี  ปรับ 60 บาท ส่วนจำเลยที่ 2 และ 3 ให้การรับสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุกไว้คนละ 9 ปี ปรับ 45 บาท ส่วนจำเลยที่ 4,5 , 6 และ 9  มีความผิดฐานร่วมกันรับของโจร จำคุกคนละ 5 ปี  แต่จำเลยที่ 4 และ 6 รับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจำคุกคนละ 2 ปี 6 เดือน   ขณะที่ จำเลยที่ 5 และ 9 ให้การเป็นประโยชน์บ้างลดโทษ 1 ใน 3   คงจำคุกไว้คนละ 3 ปี 4 เดือน
ส่วนจำเลยที่ 8  มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนในการปล้นทรัพย์ จำคุก 12 ปี คำให้การเป็นประโยชน์บ้างลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่  8 ไว้ 8 ปี  ขณะที่จำเลยที่ 7  พยานโจทก์ยังมีข้อพิรุธสงสัย  ทั้งจำเลยให้การปฏิเสธมาตลอด จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้ พิพากษายกฟ้อง แต่ให้ขังไว้ระหว่างอุทธรณ์ และให้คืนเงินของกลางแก่เจ้าของ
Share:

วันพฤหัสบดีที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2556

รวบลูกจ้างขโมยเพชรจำนำมูลค่า 10 ล้านบาท

วันนี้ (28 มี.ค.) พ.ต.ท.ธารา เครือละม้าย สว.สส.สน.หัวหมาก ร.ต.ต.พยัคฆ์ อนันทสุข รองสว.สส. พร้อมเจ้าหน้าที่ร่วมกันจับกุมตัว น.ส.สมศรี จำเริญจ้า อายุ 37 ปีพร้อมของกลางกำไลทอง 1 วงและตั๋วรับจำนำ 305 ใบ น.ส.โสภา จันทร์พูล อายุ 39 ปี พร้อมของกลางตั๋วรับจำนำ 184 ใบ และนายนัฐพงษ์ ศรีทาบุตร อายุ 21 ปีมีตั๋วรับจำนำ 138 ใบเป็นของกลาง รวมของกลางตั๋วจำนำรวมกันทั้งหมด 627 ใบมูลค่าสิบล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นตั๋วจำนำเครื่องประดับจิวเวลรี่อัญมณี

พ.ต.ท.ธาราเปิดเผยว่า เมื่อช่วงเช้าของวันนี้ นายสัญญา เค้าทอง อายุ 63 ปี เจ้าของร้านจิวเวลรี่พวงเพชร เดอะมอลล์ 3 แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ เดินทางเข้าแจ้งความกับทางพนักงานสอบสวนสน.หัวหมากว่าทรัพย์สินจิวเวลรี่ที่ร้านสูญหายไปจำนวนมาก โดยสงสัยพนักงานในร้าน เนื่องจากว่า เมื่อนายสัญญาให้ทรัพย์สินไปซ่อมที่ร้านแห่งหนึ่งย่านแฮปปี้แลนด์ โดยฝาก น.ส.สมศรีบ้าง น.ส.โสภาบ้าง พบว่ามีพฤติกรรมต้องสงสัย คือทางพนักงานของร้านซ่อมแจ้งมาทางนายสัญญาว่า ผู้ต้องหาทั้ง 2 มักจะนัดพนักงานให้ของที่ซ่อมมาส่งนอกร้านและมีท่าทีร้อนรนผิดปกติ ประกอบกับนายสัญญาเห็นว่า ทรัพย์สินที่ร้านสูญหายจึงแจ้งความกับเจ้าหน้าที่

พ.ต.ท.ธารกล่าวว่า หลังจากรับแจ้งเจ้าหน้าที่จึงไปตรวจสอบที่ร้านและสอบปากคำพนักงานทั้งสองที่นายสัญญาสงสัย เมื่อสอบปากคำค้นพบพิรุธ ค้นตัวก็พบตั๋วจำนำ จึงนำตัวไปสอบสวน ผู้ต้องหาทั้ง 2 ให้การรับสารภาพ ว่าทำงานเฝ้าร้านเพชรมา 10 สิบปีแล้ว โดยทั้งสองเริ่มเอาทรัพย์สินของร้านที่ ทางนายสัญญาให้เอาไปซ่อม โดยฝากผู้ต้องหาไปส่ง เมื่อซ่อมเสร็จ กลับไม่ได้เอามาคืนร้าน แต่เอาไปให้นายนัฐพงษ์ซึ่งขับวินจยย.อยู่ย่านดังกล่าว ให้เอาทรัพย์สินที่ได้มาไปจำนำตามโรงรับจำนำต่าง ๆ โดยได้ค่าจ้างครั้งละ 500-1,000 บาท ทั้งนี้ทั้งสองคน ต่างเห็นกันและกันลักทรัพย์สินของนายสัญญา แต่ไม่มีใครฟ้องนายจ้าง กลับเห็นดีเห็นงามช่วยกันลักทรัพย์สินไปจำนำกันทั้งคู่แทน เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ เจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาลักทรัพย์นายจ้าง หรือร่วมกันรับของโจร ควบคุมตัวดำเนิน
Share:

รวบสามเณรแสบมอมยาพระ ฉกทรัพย์สินพร้อมเงินสดเกลี้ยง

เมื่อเวลา 00.30 น.วันนี้ (28 มี.ค.) พ.ต.ท.พูนทรัพย์ รวมสุข สว.สส.สภ.ภูพิงค์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ พร้อมชุดสืบสวน ทำการจับกุมตัวสามเณรหนึ่ง (นามสมมุติ) อายุ 16 ปี พระลูกวัดแห่งหนึ่งใน อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วยของกลางพระเครื่องจำนวน 34 องค์ โทรศัพท์มือถือ จำนวน 1 เครื่อง คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค จำนวน 1 เครื่อง ยาแผนปัจจุบันเม็ดสีขาว จำนวน  2 เม็ด เบื้องต้นแจ้งข้อหาชิงทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย (ใช้ยามอมเมา) เหตุเกิดภายในลานจอดรถบนวัดพระธาตุดอยสุเทพ ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
โดยการจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากเมื่อช่วงเช้าวันที่ 21 มีนาคม 2556 ที่ผ่านมา ทางเจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งจากพระวิสาร เตชปุญโญ อายุ 51 ปี พระลูกวัดแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานครว่า ขอให้ติดตามจับกุมตัว สามเณรหนึ่ง ภายหลังจากที่นำเอากาแฟผสมยานอนหลับให้ดื่ม ก่อนจะปลดทรัพย์ไปหลายรายการ โดยพระวิสาร ให้การว่าได้รู้จักกับสามเณรหนึ่ง ซึ่งอ้างตัวว่าเป็นเจ้าพิธีในการทอดผ้าป่ามาหลายสถานที่แล้ว และล่าสุดกำลังจะจัดทอดผ้าป่าสามัคคีที่ อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน จึงหลงเชื่อเดินทางมาจากกรุงเทพ เพื่อจะร่วมทอดผ้าป่าสามัคคีที่อำเภอปาย
โดยในคืนแรกได้นอนพักที่วัด สันประเกี๋ยง อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่  ต่อมาคืนที่  2 เตรียมตัวจะเดินทางไปด้วยกันที่อำเภอปาย ปรากฎว่าสามเณรหนึ่งได้นำกาแฟมาให้ดื่ม พอดื่มเสร็จก็สลบไป จนมารู้สึกตัวตื่นที่โรงพยาบาลแมคคอร์มิค อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ จึงทราบว่าโดนมอมยาสลบ ก่อนจะสำรวจทรัพย์สินก็พบว่า เงินสดจำนวน 6,000 บาท พระเครื่องที่ประเมินค่าไม่ได้กว่า 34 องค์ รวมทั้งโทรศัพย์มือถือ และคอมพิวเตอร์ หายไปจึงได้เข้าแจ้งความ
หลังรับแจ้งทางเจ้าหน้าที่ได้ติดตามแกะรอยก็พบว่าสามเณรหนึ่งอยู่ในวัดแห่งหนึ่งในตัวเมืองเชียงใหม่ จึงได้เชิญตัวมาสอบสวนปากคำและค้นในตัวพบของกลาง จึงควบคุมตัวไปรับการสึกจากพระชั้นผู้ใหญ่ จากการสอบสวนสามเณรหนึ่งยังให้การวกวน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเชื่อว่าอาจจะมีผู้ร่วมขบวนการ และอาจจะทำมาแล้วหลายครั้ง ซึ่งจะได้สืบสวนสอบสวนขยายผลต่อไป
Share:

วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2556

รวบยกก๊วนแก๊งทวงหนี้โหดตื๊บแม่ค้าขนมเบื้อง

จากกรณีกลุ่มชายฉกรรจ์ 6 คน ขี่รถจยย. ซ้อนท้ายกันมา และสวมหมวกกันน็อคปิดบังใบหน้า พร้อมกับถืออาวุธไม้ และมีด ตรงเข้าทำร้าย น.ส.สุภาพร ทองแตง วัย 56 ปี แม่ค้าขายขนมเบื้องหน้าตลาดบางแค ได้รับบาดเจ็บตามร่างกาย ศีรษะแตก ถูกนำตัวส่ง รพ.เพชรเกษม และมีหนึ่งในแก๊งทวงหนี้ชื่อนายอนุสรณ์ ชาวอุบล อายุ 23 ปี ถูกอาวุธมีดแทงเข้าด้านหลังได้รับบาดเจ็บสาหัสขณะเกิดการชุลมุน เมื่อพ่อค้าแม่ค้าเข้ามาช่วย จนสลบเหมือดจมกองเลือด ต้องนำตัวส่ง รพ.ราชพิพัฒน์ อย่างเร่งด่วน จากนั้น น.ส.นุจรี ศิลวิจารณ์ อายุ 36 ปี พร้อมพ่อค้าแม่ค้าได้เดินทางเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.เพชรเกษม ให้รีบจับกุมตัวกลุ่มชายฉกรรจ์ที่ก่อเหตุทั้งหมดมาดำเนินคดี ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าล่าสุด วันนี้(27 มี.ค.) พ.ต.ท.อนันต์ ไทยงาม รอง ผกก.สส.สน.เพชรเกษม พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดฝ่ายสืบสวนได้นำกำลังไปซุ่มดักรอผู้ต้องหาที่ รพ.ราชพิพัฒน์ ก่อนจะมีกลุ่มชายประมาณ 5 คน เดินทางมาเยี่ยมนายอนุสรณ์ ชาวอุบล ที่นอนพักรักษาตัวอยู่ จึงแสดงตัวพร้อมนำหมายจับศาลอาญาธนบุรี เลขที่ 199/2556 ลงวันที่ 27 มี.ค. ให้ผู้ต้องหาทั้งหมดดู ก่อนจะควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งหมด ซึ่งเป็นเยาวชนอายุระหว่าง 16-17 ปี 4 คน และนายรุ่งโรจน์ หรือ “โรจน์ อัมพุธ” อายุ 23 ปี ที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกหมายจับ และเป็นบุคคลคนเดียวกับที่ น.ส.สุภาพร แม่ค้าขนมเบื้องที่ถูกทำร้ายไปกู้เงินมา จึงควบคุมตัวทั้งหมดมาสอบปากคำเพิ่มเติมที่ สน.เพชรเกษม

สอบสวนนายรุ่งโรจน์ ให้การภาคเสธว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว ตนพร้อมลูกน้องได้ขับขี่รถจยย. ไปทวงหนี้จากแม่ค้าขนมเบื้องจริง เนื่องจากจ่ายเงินไม่ตรงและได้มีปากเสียงกันขึ้น ก่อนจะมีกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าเข้ามาต่อว่าและเกิดการชุลมุนกันขึ้น ซึ่งทางกลุ่มตนได้ถูกแทงได้รับบาดเจ็บสาหัสจนเข้า รพ. เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัสและทำให้เสียทรัพย์ พร้อมกับนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี
Share:

วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2556

หนุ่มใหญ่รัสเซีย ดำน้ำยิงปลาไม่โผล่

วันนี้ 25 มี.ค. ร.ต.ท.สถาพร สีนุ่น พนักงานสอบสวนสภ.กะรน อ.เมือง จ.ภูเก็ต รับแจ้งว่าพบศพนักท่องเที่ยวลอยกลางทะเลสวมชุดดำน้ำ  ที่บริเวณหาดกะตะ ต.กะรน เจ้าหน้าที่ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางทะเลเทศบาลตำบลกะรน  ได้ลากศพกลับมาขึ้นมาที่บริเวณหาดปากบาง ต.กะรน ขอให้เดินทางไปตรวจสอบด้วย จึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ ได้รับแจ้งจึงเดินทางไปตรวจสอบพร้อมด้วย พ.ต.ท.พาชัย มัธยันต์ รองผกก.ป.นายศุภชัย จันทร์เพ็ชร หัวหน้าศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางทะเลเทศบาลตำบลกะรน และเจ้าหน้าที่มูลนิธิภูฌก็ตร่วมใจกู้ภัยรุดไปตรวจสอบ
ที่เกิดเหตุเป็นชายหาดชื่อดังของจังหวัดภูเก็ต เห็นนักท่องเที่ยวทั้งไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นจำนวนมากกำลังมุงดูเหตุเกิด ที่บริเวณหน้าชายหาดพบศพนายโอลิค อูดารอยด์ (Udaloi Oleg) อายุ 44 ปี สัญชาติรัสเซีย สภาพศพสวมชุดดำน้ำ สีดำ ที่เท้าสวมใส่ตีนกบ 1คู่ ส่งกลิ่นเหม็นคละฟุ้งทั่วบริเวณ ตรวจสอบตามร่างกายไม่พบร่องรอยบาดแผลหรือการถูกทำร้ายแต่อย่างใด ทราบเพียงแต่ได้มีญาติได้แจ้งหายไว้เมื่อ 3 วันที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่จึงนำศพชันสูตรที่โรงพยาบาลวชิระภูเก็ตอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง
จากการสอบสวนทราบว่าผู้ตายเดินทางมาเข้ามาพักผ่อนที่จังหวัดภูเก็ตโดยพร้อมเพื่อนร่วมชาติ ได้พักที่โรงแรมพีชฮิล์ล ต.กะรน วันเกิดเหตุวันที่ 22 มี.ค.ที่ผ่านมาผู้ตายได้ว่าจ้างเรือหางยาวของชมรมเรือหางยาวหาดกะตะ-กะรน ให้พาออกไปดำน้ำยิงปลาใต้ท้องทะเลที่เกาะปู ต.กะรน  จากนั้นได้พาผู้ตายออกเรือพร้อมกับอุปกรณ์ การดำน้ำ และเครื่องมือที่ใช้ในการหาปลา  ซึ่งผู้ตายได้ดำน้ำลงไปก้นทะเล ยิงปลามาได้ 4 ตัว จากนั้นครั้งสุดท้ายครั้งที่ 5 ผู้ตายดำลงไปก้นทะเล แต่ครั้งนี้ผู้ตายดำแล้วไม่โผล่ขึ้นมาเหมือนทุกครั้ง ทำให้คนขับเรือหางยาวได้โทรแจ้งนายศุภชัย จันทร์เพ็ชร หัวหน้าศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางทะเลเทศบาลตำบลกะรน ทราบ ก่อนที่จะนำเจ้าหน้าที่ลงค้นหาแต่ก็ไม่พบเป็นเวลา 3 วัน ซึ่งมาพบอีกทีก็เป็นศพลอยโผล่หาดกะตะ  ต.กะรน อ.เมืองภูเก็ต แล้ว เบื้องต้นเจ้าหน้าที่คาดว่าผู้ตายดำน้ำลึกเกินไปทำให้เกิดอาการน๊อคน้ำ จนหมดสติไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ หรือเป็นตะคริวจนเสียชีวิตดังกล่าว ส่วนสาเหตุที่แท้จริงเจ้าหน้าที่จะได้สอบสวนต่อไป.
Share:

รวบเจ้าหน้าที่เรือนจำกลางอุบลพร้อมยาเสพติด

วันนี้ ( 26 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 20.00 ของวันที่ 25 มี.ค. ร.ต.อ. ศักดิ์พนาชัย สาธุจรัญ รอง สว. สส. สภ.วารินชำราบ พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสายสืบ ได้ควบคุมตัวนายเชิดตระกูล หรืออิ้ด บุญอาสา เจ้าหน้าที่ทัณฑวิทยา ประจำเรือนจำกลางอุบลราชธานี อายุ 33 ปี อยู่บ้านเลขที่ 130 หมู่ 9 บ้านเหรียญทอง ตำบลโนนผึ้ง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งจับกุมได้ที่บ้านพักอาศัย โดยเจ้าหน้าที่สามารถตรวจยึดยาบ้าสีส้ม บรรจุในถึงพลาสติกสีฟ้า จำนวน 18 เม็ด ซุกซ่อนในกระเป๋าสะพายสีดำ วางอยู่หลังตู้ใต้บันไดบ้าน และพบยาไอซ์ น้ำหนัก 3.4 กรัมซึ่งรวมอยู่ในถุงยาบ้าที่ตรวจพบ  และตรวจยึดปืนขนาด 9 มิลลิเมตร 1 กระบอก,ขนาด .32 จำนวน 1 กระบอก
โดยในเบื้องต้นนายเชิดตระกูลบอกว่ายาบ้าและไอซ์ทั้งหมด เป็นของนายจีระศักดิ์ หรือหนุ่ม รณรัตน์ อายุ 33 ปี ซึ่งเป็นเพื่อนอยู่ที่บ้านโพธิมูล ตำบลหนองกินเพล อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี นายเชิดตระกูล ให้การปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นเจ้าของยาบ้า และให้การรับสารภาพว่า เป็นเจ้าของอาวุธปืนขนาด 9 มิลลิเมตร จำนวน 1 กระบอกพร้อมเครื่องกระสุน จำนวน 20 ลูก และอาวุธปืน.32 พร้อมเครื่องกระสุนจำนวน 9 ลูก โทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ควบคุมตัวไว้ดำเนินคดีมียาเสพติดให้โทษประเภทที่หนึ่ง ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พยายามขยายผลการจับกุมไปยังเครือข่ายค้ายาเสพติดทั้งที่บ้านพักและเครือข่ายภายในเรือนจำกลางอุบลราชธานี โดยได้นำตัวนายเชิดตระกูล ไปยังบ้านอีกแห่งหนึ่งที่อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ แต่นายเชิดตระกูลไม่ได้ให้ความร่วมมือแต่อย่างใด สำหรับนายเชิดตระกูลได้รับคำสั่งให้ย้ายมาปฏิบัติงานที่เรือนจำกลางอุบลราชธานี เป็นเวลากว่า 3 ปี โดยมีหน้าที่ควบคุมผู้ต้องโทษออกมาทำงานด้านนอกเรือนจำ หรือที่เรียกว่า “จ่ายนอก"
 
Share:

วันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2556

รวบแก๊งเวียดนามใช้ถุงตัดสัญญาณกันขโมยลักเสื้อผ้าในเซ็นทรัลเวิลด์


เมื่อเวลา 23.00 น.วันที่ 24 มี.ค. ที่สน.ปทุมวัน พ.ต.ท.พนม เชื้อทอง รอง ผกก.สส.สน.ปทุมวัน รรท. ผกก.สน.ปทุมวัน พ.ต.ท.สัญชัย มาตรคำจันทร์ สว.สส.สน.ปทุมวัน พ.ต.ท.สรกานต์ ดำกระบี่ สว.สส.สน.ปทุมวัน พร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.ปทุมวัน ร่วมกันแถลงจับกุมนายวู ง๊อก ควง อายุ 34 ปี สัญชาติชาวเวียดนาม พร้อมของกลางเสื้อ กางเกง และหมวกยี่ห้อยูนิโคล่  จำนวน 206 ชิ้น มูลค่าเกือบ 2 แสนบาท และถุงกระดาษภายในเคลือบด้วยกระดาษฟลอยด์ เพื่อป้องกันสัญญาณกันขโมยของร้านค้า จำนวน 2 ใบ และกระเป๋าเดินทางอีก 2 ใบ

พ.ต.ท.พนม เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.ปทุมวัน ได้รับแจ้งว่ามีคนร้ายเป็นชาวต่างชาติ ตระเวนก่อเหตุลักทรัพย์ตามร้านค้าภายในศูนย์การค้า เซ็นทรัลเวิลด์ อยู่บ่อยครั้ง จึงนำกำลังไปดักซุ่มจับกุม จนกระทั่งช่วงค่ำที่ผ่านมาพบตัวนายวู ง๊อก ควง นั่งเฝ้ากระเป๋าใบดังกล่าวอยู่ที่บริเวณด้านหน้าห้างด้วยท่าทางมีพิรุธ จึงแสดงตัวขอตรวจค้นปรากฏว่าว่ าพบเสื้อผ้าของกลางซุกซ่อนอยู่ในกระเป๋าเดินทางจำนวนมาก จึงประสานไปยังร้านยูนิโคล่ในห้างดังกล่าว และได้รับการยืนยันว่าเป็นสินค้าของทางร้านที่ถูกขโมยไปจริง ควบคุมตัวมาสอบปากคำที่สน.ปทุมวัน

จากการสอบสวนนายวู ง๊อก ควง ให้การรับสารภาพว่า เมื่อวันที่ 22 มี.ค.เพิ่งเดินทางขึ้นเครื่องบินจากประเทศเวียดนาม เพื่อเข้ามาหาญาติในประเทศไทย และได้รู้จักกับ น.ส.ฟลุค กับนายบั๋น ชาวเวียดนามด้วยกันบนเครื่องบิน จากนั้นทั้งสองคนชักชวนให้มาช่วยขนเสื้อผ้ากลับไปขายที่ประเทศแล้วจะให้เงินค่าจ้าง โดยเมื่อช่วงเย็นเวลาประมาณ 16.00 น. ที่ผ่านมา ทั้งสองคนพามานั่งรอที่ด้านหน้าห้าง โดยบอกว่าจะเข้าไปซื้อของด้านในห้าง จากนั้นทั้งสองคนเดินถือถุงนำเสื้อผ้าออกมาถ่ายใส่กระเป๋าเดินทางอยู่หลายรอบ สอบถามทั้งสองคนบอกว่าไปซื้อมา จนกระทั่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจมาขอตรวจค้นจับกุม ส่วนน.ส.ฟลุค กับนายบั๋น หลบหนีไปได้

พ.ต.ท.พนม กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ สืบสวนด้วยทราบว่า เสื้อผ้ายี่ห้อนี้จะผลิตในประเทศเวียดนาม เพื่อส่งไปขายตามต่างประเทศเท่านั้น ไม่สามารถจำหน่ายในประเทศเวียดนามได้ กลุ่มผู้ต้องหา จึงออกตระเวนลักตามห้างในประเทศไทย เพื่อส่งกลับไปขายที่ประเทศเวียดนามอีกครั้งหนึ่ง เบื้องต้นแจ้งข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืนหรือรับของโจรกับนายวู ง๊อก ควง พร้อมทั้งจะติดตามจับกุมเพื่อนร่วมแก๊งอีก 2 คนมาดำเนินคดีต่อไป

พ.ต.ท.พนม กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้เมื่อช่วงค่ำที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนได้จับกุมนาย ลี จื้อ ด๋ง อายุ 34 ปี สัญชาติเวียดนาม ได้ที่บริเวณประตูทางออกชั้น 3 ห้างมาบุญครอง ถนนพญาไท แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน พร้อมของกลางเงินสด 6,000 บาท บัตรวีซ่าและมาสเตอร์การ์ดของนายธุระนัย ส่งประยูรวงษ์ ผู้เสียหาย จำนวน 3 ใบ และเอกสารสำคัญอีกจำนวนหนึ่ง หลังจากเจ้าตัวเดินเข้ามาป้วนเปี้ยนอยู่ในห้างดังกล่าวและอาศัยทีเผลอเข้าไปล้วงกระเป๋าสตางค์ของผู้เสียหาย แล้วรีบนำไปทิ้งถังขยะโดยเก็บบัตรวีซ่ากับมาสเตอรืการ์เอาไว้ เบื้องต้นเจ้าตัวรับสารภาพว่า เข้ามาก่อเหตุที่ห้างดังกล่าวมาแล้วหลายครั้ง จึงแจ้งข้อหาลักทรัพย์ ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวน ดำเนินคดีต่อไป
Share:

วันเสาร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2556

สืบบางเขนฟิต รวบคนร้ายวิ่งราวทองทันควัน

วันนี้ ( 23 มี.ค.) เมื่อเวลา 16.00 น. พ.ต.ต.พงศ์สุรวัฒน์ วงษ์สารัมย์ สว.สส.สน.บางเขน และฝ่ายสืบสวน สน.บางเขน ร่วมกันจับกุมตัว นายจำนงค์ แก้วคำแสง อายุ 49 ปี อยู่บ้านเลขที่ 9/3 หมู่9 ต.หนองยาว อ.เมืองสระบุรี จ.สระบุรี พร้อมของกลางสร้อยข้อมือทองคำหนัก 3 บาท จำนวน 2 เส้น มูลค่า 120,000 บาท โดยจับกุมได้ที่หน้าทางเข้าห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สาขาสะพานใหม่ ปากซอยพหลโยธิน50 ถนนพหลโยธิน แขวงคลองถนน เขตสายไหม กทม.

พ.ต.ต.พงศ์สุรวัฒน์ เปิดเผยว่า สืบเนื่องมาจากเมื่อช่วงบ่ายของวันนี้ขณะนำกำลังออกตรวจพื้นที่อยู่ที่หน้าห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สาขาสะพานใหม่ ก็ได้รับแจ้งจากน.ส.ยุพิน เจริญมาตย์ อายุ 29 ปี พนักงานขายทอง ห้างทองเยาวราช กรุงเทพ ที่อยู่ชั้นที่1 ของห้าง ว่ามีคนร้ายเป็นผู้ชายขโมยทองไปจากร้านแล้ววิ่งหนีไปทางประตูทิศตะวันออก จึงนำกำลังออกติดตาม ก็พบนายจำนงค์ สวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นลายสก๊อตสีส้มแดง กางเกงขายาว วิ่งหน้าตาตื่นออกมา และรีบไปที่รถจยย.ยามาฮ่า ฟีโน่ สีครีม-ขาว ทะเบียน กจฉ 423 ปทุมธานี ที่จอดอยู่ตรงบันไดใกล้ประตูทางเข้า จึงเข้าจับกุมตัวไว้ได้พร้อมของกลางสร้อยข้อมือที่อยู่ในมือข้างขวาของนายจำนงค์ จึงควบคุมตัวมาสอบสวนที่ สน.บางเขน

ด้านน.ส.ยุพิน กล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกว่า ขณะเกิดเหตุนายจำนงค์ได้เดินเข้ามาในร้านแล้วขอดูสร้อยข้อมือหนัก5 บาท แต่ที่ร้านมีแต่น้ำหนัก 3 บาท นายจำนงค์ก็ยังขอดูพร้อมบอกว่าจะซื้อ จากนั้นทำทีถามตนว่ารูดบัตรเครดิตได้หรือไม่ จึงตอบไปว่ารูดได้แต่ต้องเสียค่าบริการ นายจำนงค์เลยบอกว่าจะออกไปกดเงินสดมาซื้อ เวลาผ่านไปประมาณ 20 นาที นายจำนงค์กลับเข้ามาอีกครั้ง และขอดูทองเส้นเดิมอีก ซึ่งตนเกิดความสงสัยตั้งแต่แรกที่บอกว่าจะรูดบัตรเครดิตแล้ว เลยให้พนักงานในร้านช่วยกันจับตาดูไว้ และนำสร้อยออกมาให้ดู ทันทีที่ยื่นทองให้นายจำนงค์ก็คว้าทองแล้ววิ่งหนีออกมาจากร้านอย่างรวดเร็ว จึงวิ่งออกมาตะโกนให้คนช่วยกันจับ จนเจ้าหน้าที่สมารถติดตามจับกุมตัวไว้ได้

จากการสอบสวน นายจำนงค์ ให้การรับสารภาพว่า ที่ก่อเหตุเพราะตนเป็นหนี้หวยใต้ดินกว่า 2 แสนบาท และไม่มีเงินไปใช้หนี้ให้กับเจ้ามือรายใหญ่ จึงตัดสินใจทำทีไปซื้อทองตามร้านทอง พอพนักงานเผลอก็หยิบทองแล้ววิ่งหนีไป นอกจากนี้เมื่อวันที่ 13 มี.ค.ที่ผ่านมา เพิ่งก่อเหตุลักลักษณะเดียวกันนี้ได้สร้อยข้อมือทองคำ น้ำหนัก 3บาท จำนวน 2 เส้น ไปจากร้านทองเจริญมณี ซอยลาดปลาเค้า80 ถนนลาดปลาเค้า แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กทม. และวันนี้แต่เกิดย่ามใจก็เลยออกมาก่อเหตุซ้ำอีกจนถูกเจ้าหน้าที่จับกุม  เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหา ลักทรัพย์โดยใช้กลอุบาย ก่อนนำตัวพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวนสน.บางเขน ดำเนินคดีต่อไป
Share:

วันศุกร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2556

ตร.คุม 2 โจ๋ชิงทรัพย์-ฟันคอนักข่าว ฝากขัง

วันนี้ 22 มี.ค. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก  ร.ต.ท.เรืองศักดิ์ เนื่องกิจ  พนักงานสอบสวนสน.พหลโยธิน ควบคุมตัวนาย ปรีชา วารารัมย์  ชาวจ.บุรีรัมย์ และนาย ศรัณ ชูนิ่ม อายุ 22 ปี ชาวจ.นนทบุรี 2 ผู้ต้องหาคดีร่วมกันชิงทรัพย์นายสุวัฒน์ หรือต้น ปัญจวงศ์ ผู้สื่อข่าวนสพ.ไทยโพสต์ มายื่นคำร้องฝากครั้งแรก
โดยระบุถึงพฤติการณ์สรุปว่า  เมื่อเวลา 02.30 น. วันที่ 18 มี.ค.56 ขณะที่นาย สุวัฒน์ ผู้เสียหาย กำลังคุยโทรศัพท์ในซอยรัชดาภิเษก 36 แยก 9 (ซอยเสือใหญ่อุทิศ) นายศรัณ ได้พูดจากด้านหลังพร้อมกับจับโทรศัพท์ ที่ถืออยู่ในมือขวา และพูดขู่อีกว่า “เอาเป๋าตังค์มา” แต่ผู้เสียหายไม่ยอม และกำหมัดซ้ายเพื่อจะชกป้องกันตัว นายศรัณ จึงใช้มีดฟันที่ลำคอด้านซ้าย จนผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บ เซถอยหลัง นายศรัณ  ขณะที่นาย ปรีชา ผู้ต้องหาที่ 1 ซึ่งขับจยย.ติดเครื่องยนต์ พูดว่า “ได้แล้วพอแล้ว” นายศรัณ จึงวิ่งขึ้นรถจยย.หลบหนีไปพร้อมโทรศัพท์มือถือ   จากนั้นมีรถแท็กซี่พาผู้เสียหายไปส่งที่รพ.เปาโล โชคชัย 4  เพื่อรักษาเบื้องต้น ก่อนส่งตัวไปรักษาต่อที่รพ.ลาดพร้าว และบิดาของผู้เสียหายได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสน.พหลโยธิน และขออนุมัติหมายจับที่ 496,497/2556 ลงวันที่ 21 มี.ค.56 ติดตามจับกุมผู้ต้องหาทั้งสองได้ และให้การรับสารภาพ  พนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนมาตลอด แต่ยังสอบสวนไม่เสร็จสิ้น ต้องสอบพยานอีก 6 ปาก รอผลการตรวจพิสูจน์ของกลาง และผลพิมพ์มือผู้ต้องหา ด้วยความจำเป็นดังกล่าวจึงขอฝากขังผู้ต้องหาเป็นเวลา 12 วันตั้งแต่วันที่ 22 มี.ค. – 2 เม.ย.นี้
ท้ายคำร้องขอพนักงานสอบสวนขอคัดค้านการประกันเนื่องจากคดีมีอัตราโทษจำคุกสูง หากผู้ต้องหาได้รับการปล่อยชั่วคราว อาจหลบหนี หรืออาจไปกระทำผิดซ้ำอีก ทั้งผู้ต้องหาที่ 2 ยังได้กระทำผิดคดีลักษณะเดียวกันนี้ ในท้องที่ สภ.บางใหญ่ และสภ.บางบัวทอง จ.นนทบุรีด้วย
ศาลพิจารณาคำร้องและสอบถามผู้ต้องหาแล้ว ไม่คัดค้าน จึงอนุญาตให้ฝากขังได้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะการฝากขังที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ได้มีมารดาของนายศรัณสังเกตการณ์ด้วย และเมื่อช่างภาพ บอกให้ผู้ต้องหาเงยหน้าเพื่อที่จะบันทึกภาพ ทางมารดาผู้ต้องหาก็เกิดอาการไม่พอใจถึงขั้นโวยวายว่า  “จะซ้ำเติมลูกฉันไปถึงไหนเด็กมันไม่ได้ตั้งใจ ลองเป็นลูกของคุณบ้างสิ”  แต่ก็ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงใดๆ
ต่อมาเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้นำตัวผู้ต้องหาทั้งสองไปควบคุมไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ วันเดียวกันนี้ นายเชษฐ์ สุขสมเกษม รองเลขาธิการสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย  ได้กล่าว ขอบคุณ เจ้าพนักงานตำรวจ  ที่สามารถจับกุมคนร้ายที่แท้จริงมารับโทษตามกฎหมายได้อย่างรวดเร็ว คลายความวิตกกังวลของสุจริตชนที่เคยหวาดกลัวต่อภยันตรายบนท้องถนน และเกิดใจกลางกรุงเทพมหานคร ผลการจับกุมครั้งนี้นำมาซึ่งความสงบสุขแก่ประชาชนอีกครั้งหนึ่ง  ซึ่งนายสุวัฒน์ นับเป็นประชาชนคนหนึ่ง แต่ก็เชื่อได้ว่า เจ้าพนักงานตำรวจจะได้ใช้ความรู้ความสามารถในการสืบสวนสอบสวนการจับกุมกับทุกคดีกับผู้เสียหายทุกคน.
Share:

ประหารแก๊งยาเสพติดขับรถทับ ร.ต.อ.ดับ

วันนี้ (22 มี.ค.) ที่ห้องพิจารณา 712 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก  ศาลอ่านคำพิพากษา คดีฆ่าเจ้าพนักงาน  หมายเลขดำ อ.1002/2555 ที่ พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นาย อลงกรณ์ หรือบอย เริ่มประชาธิปไตย อายุ 26 ปี และ น.ส. ปรียานุช พุฒิกรณ์ อายุ 24 ปี สองสามีภรรยา เป็นจำเลยที่1- 2 ตามลำดับ ในความผิดฐาน ฆ่าและพยามฆ่าเจ้าพนักงาน, พ.ร.บ.ยาเสพติด ฯ
ตามฟ้องโจทก์เมื่อวันที่ 5เม.ย.55 ระบุความผิดสรุปว่าเมื่อวันที่ 11 ม.ค. 2555 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองได้มีเมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า จำนวน 200 เม็ดและยาไอซ์ จำนวน 4 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน. สุทธิสารกับพวกล่อซื้อภายในซอยลาดพร้าว 48  จำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์มาสด้า 2 ทะเบียน ฎฟ-7874  กทม. ซึ่งมีจำเลยที่ 2 นั่งคู่มาเพื่อส่งยา  เมื่อจำเลยที่ 1 ไหวทันว่าเจ้าหน้าที่จะเข้าจับกุม จึงขับรถหลบหนีและพุ่งชนจยย.ทะเบียน สธม- 279 กทม. ซึ่งมีส.ต.ท.ศิรวิทย์  รวมจิตร เป็นผู้ขับ โดยมี ร.ต.อ.ทวีศักดิ์  ดาวเรือง รอง สว.สส.สน.สุทธิสาร  นั่งซ้อนท้าย  และทับร่างของ ร.ต.อ.ทวีศักดิ์  ดาวเรือง ถึงแก่ความตาย ส่วน ส.ต.ท.ศิรวิทย์   ได้รับบาดเจ็บสาหัส เป็นอันตรายแก่กายและจิตใจ
ต่อมาจำเลยทั้ง 2 ถูกจับกุมได้ พร้อมยาเสพติดของกลางในที่เกิดเหตุเหตุเกิดภายในซอยลาดพร้าว 48 แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กทม.และ ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด  จ.นนทบุรี เกี่ยวพันกัน ขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4,7,8,15,66,102,  ป.อาญา มาตรา 138,289  ชั้นสอบสวนจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ แต่ปฏิเสธสู้คดีในชั้นศาล
ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายที่นำสืบหักล้างกันแล้วเห็นว่า ฝ่ายโจทก์มีส.ต.ท.ศิรวิทย์   ผู้ขับขี่ จยย. ประจักษ์พยาน เบิกความถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมเป็นประจักพยานที่เห็นเหตุการณ์อีก 2 ปาก ต่างเบิกความสอดคล้องกัน ว่า ขณะตำรวจแสดงตัวเข้าจับกุม จำเลยเข้าไปกลับรถภายในซอย ก่อนขับออกมาพุ่งชนร.ต.อ.ทวีศักดิ์   ที่ใช้รถ จยย.จอดขวางทาง  การกระทำของจำเลยที่ขับรถทับผู้ตาย และลากร่างไปไกล 15 เมตร ย่อมเล็งเห็นผลว่าผู้ตาย จะถึงแก่ความตาย ประกอบกับชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ส่วนที่จำเลยที่ 1 อ้างในชั้นศาลว่า ไม่ทราบว่า ผู้ตายเป็นตำรวจ และหลังที่ถูกจับกุมแล้วโดนทำร้ายร่างกาย และบังคับให้สารภาพนั้น เป็น ข้ออ้างลอยๆ  ไม่น่าเชื่อถือ   ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 1 กระทำผิดตามฟ้อง
พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานฆ่าเจ้าพนักงานที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ ลงโทษบทหนักสุดให้ประหารชีวิต และลงโทษฐานมียาเสพติดไว้ในครองครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 14 ปี ปรับ 7.5 แสนบาท  ชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพฐานมียาเสพติดฯ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 7 ปี ปรับ 3.75 แสนบาท ส่วนข้อหาฆ่าเจ้าพนักงานฯ จำเลยให้การเป็นประโยชน์อยู่บ้างลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ตลอดชีวิต ปรับ  3.75 แสนบาท ส่วนจำเลยที่ 2 มียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 14 ปี ปรับ 7.5 แสนบาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกไว้ 7 ปี ปรับ 3.75 แสนบาท และให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินค่าขาดไร้ผู้อุปการะ และค่าใช้จ่ายในการปลงศพ แก่บิดา มารดาผู้ตายรวมเป็นเงิน 1.64 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5 ต่อปีด้วย  ยึดยาเสพติดของกลาง.
Share:

วันพุธที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2556

ล่าไอ้หื่นพยายามขืนใจยายวัย 71 ปี

เมื่อเวลา 22.45 น. วันที่ 20 มี.ค. พ.ต.อ.มานพ สุคนธ์ธนพัฒน์ ผกก.สน.ราษฎร์บูรณะ รับแจ้งเหตุหญิงชราร้องขอความช่วยเหลือในป่าหญ้ากลางซอยสุขสวัสดิ์ 26 แยก 2 แขวงบางปะกอก เขตราษฎร์บูรณะ จึงนำกำลังเจ้าหน้าที่สายตรวจตำรวจฝ่ายสืบสวน และหน่วยกู้ภัยมูลนิธิร่วมกตัญญูไปตรวจสอบ

ที่เกิดเหตุเป็นป่าหญ้ารกบนถนนสุขสวัสดิ์ ซอย 26 สามารถมุ่งหน้าออกซอยสุขสวัสดิ์ 22 ได้ เจ้าหน้าที่พบ นางตุ๊ (นามสมมุติ) อายุ 71 ปี พักอยู่ซอยสุขสวัสดิ์ 26 แขวงบางปะกอก เขตราษฎร์บูรณะ กทม. นอนอยู่ในพงหญ้าสภาพอิดโรย ที่เบ้าตาข้างซ้ายถูกคนร้ายชกจนบวมปูดเขียวดวงตาปิด เบื้องต้นจึงช่วยกันนำร่างส่ง รพ.สุขสวัสดิ์ ให้แพทย์ทำการเอ็กซเรย์ก่อนนอนพักรักษาตัวรอดูอาการเป็นเวลา 1 คืน

จากการสอบสวน นางตุ๊ ให้การว่า พักอยู่ในซอยดังกล่าวดังกับหลานชื่อ น.ส.แนน อายุ 15 ปี โดย น.ส.แนน มักเดินออกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนๆ อยู่เป็นประจำทำให้ต้องเที่ยวเดินตามหา กระทั่งวันนี้หลานสาวหายจากบ้านไปตั้งแต่เช้า จึงเดินตามหาหวังจะเรียกกลับมากินข้าวที่บ้าน โดยระหว่างที่กำลังหาตัวหลานอยู่นั้น ได้มี นายเต๋า (ไม่ทราบชื่อและนามสกุล) อายุประมาณ 30 ปี คนในซอยเดียวกันเข้ามาทักทายตนพร้อมบอกว่าเห็นหลาน เดินเตร็ดเตร่อยู่ในพงหญ้ากลางซอย ให้เดินตามหลังไปเดี๋ยวจะนำไปหา

นางศรี กล่าวอีกว่า เมื่อเดินตามลึกเข้าไปในพงหญ้านายเต๋า ได้ผลักล้มลงแล้วขึ้นคร่อม  จึงพยายามต่อสู้จนถูกนายเต๋า ชกเข้าที่เบ้าตาหลายทีจนมึนไปหมด จากนั้น นายเต๋า ก็ลุกขึ้นถอดกางเกงจนเปลือยล่อนจ้อนก่อนปรี่เข้ามาหาอีก จึงรวบรวมพละกำลังที่มีเตะผ่าหมากนายเต๋า ไปที่กล่องดวงใจ 1 ที จนจุและรีบใส่เสื้อผ้าหนี จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็เข้ามาช่วยเหลือดังกล่าว ส่วนประวัติของ นายเต๋า นั้นทราบว่าเคยติดคุกมาก่อนแต่ไม่รู้คดีอะไร แต่ระหว่างที่พยายามก่อเหตุข่มขืนนั้นสังเกตเห็นว่ามีลักษณะเหมือนคนเมายาเสพติด

ด้าน พ.ต.อ.มานพ กล่าวว่า  หลังเกิดตนสั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน และ ตำรวจสายตรวจช่วยกันลงพื้นที่ตามล่าตัว นายเต๋า ผู้ต้องหารายนี้แล้ว เชื่อว่าไม่นานคงจะติดตามตัวได้ จากนี้ทางพนักงานสอบสวนได้เดินทางเข้าพบผู้บาดเจ็บและญาติๆ ที่โรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมเยียนสอบถามอาการและสอบปากคำในเบื้องต้นแล้ว
Share:

นศ.กระทืบรปภ.รามฯ มอบตัว-ถูกยัดห้องขัง

จากกรณีมีการโพสต์ทางเฟซบุ๊ก เป็นรูปภาพชายแต่งตัวคล้ายพนักงานรักษาความปลอดภัยถูกชายวัยรุ่น 5 คนรุมทำร้าย ได้รับบาดเจ็บสาหัส พร้อมกับมีการโพสต์ข้อความอ้างว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นใน มหาวิทยาลัยรามคำแหง ย่านหัวหมาก ซึ่งคาดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของนักศึกษาภาคพิเศษคนหนึ่ง ที่ขับรถเก๋งเชฟโรเลต ครูซ สีบรอนซ์ หมายเลขทะเบียน ฎม.7373 กรุงเทพมหานคร เข้าไปจอดรถในที่ห้ามจอด แล้วถูกทาง รปภ. คนดังกล่าวห้าม ก่อนที่จะมีปากเสียงกัน จากนั้นได้นักศึกษาผู้ก่อเหตุจึงพาพรรคพวกอีกประมาณ 7 มาไล่รุมกระทืบซ้ำจน รปภ.ได้รับบาดเจ็บขาหัก ศีรษะแตก ถูกส่งไปรักษาตัวที่ รพ.ราชวิถี เหตุเกิดเมื่อช่วงเช้าวันที่17 มี.ค.ที่ผ่านมาตามที่เสนอข่าวไปนั้น ความคืบหน้าเมื่อเวลา 20.00 น. วันนี้ (20 .มี.ค.) ทางศาลอาญาได้อนุมัติออกหมายจับ นายปัญจพล เตือนภักดี อยู่บ้านเลขที่ 51 ซอยเรืองทอง แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ ในข้อหา ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส ตามหมายจับเลขที่ 264/2556  ลงวันที่ 20 มี.ค. 2556 โดยผู้ต้องหาเป็นเจ้าของรถเก๋งเชฟโรเลต ครูซ สีบรอนซ์ หมายเลขทะเบียน ฎม.7373 กรุงเทพมหานคร ที่มีปากเสียงกับรปภ.คนดังกล่าว ซึ่งทางเจ้าหน้าที่จะได้สืบสวนติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีต่อไป
เมื่อเวลา 23.30 น. วันที่ 20 .มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายปัญจพล เตือนภักดี อายุ 23 ปี ผู้ต้องหาร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส ตามหมายจับศาลอาญาเลขที่ 264/2556  พร้อมเพื่อนและบิดา ได้เดินทางเขามอบตัวกับพ.ต.อ. ณรงค์ฤทธิ์  พรหมสวัสดิ์ ผกก.สน.หัวหมาก  พ.ต.ท. ธารา  เครือละม้าย สว.สส.สน.หัวหมาก ที่สน.หัวหมาก จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงได้นำตัวผู้ต้องหาสอบสวนต่อที่ห้องพนักงานสอบสวนทันที
ล่าสุดเมื่อเวลา 02.00 น. วันที่ 21 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากนายปัญจพล เตือนภักดี อายุ 23 ปี นศ.ภาคพิเศษคณะบริหารธุรกิจปี 3 ม.รามคำแหงซึ่งเป็นบุคคลที่ถูกออกหมายจับคดีทำร้ายร่างการเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัส จากกรณีทำร้ายร่างกายรปภ.ม.รามคำแหงเมื่อวันที่ 17 มี.ค.ที่ผ่านมา และได้เดินทางมาพบเจ้าหน้าที่สน.หัวหมากตั้งแต่เวลา 23.30 ของวันที่ 20 มี.ค.ที่ผ่านมา หลังจากสอบปากคำไปกว่า 2 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่ยังคงสอบปากคำและควบคุมตัวนายปัญจพลต่อไป โดยมีทนายฝ่ายบิดา ร่วมให้ปากคำด้วย นอกจากนี้ยังมีญาติมิตรมาเฝ้าให้กำลังใจที่หน้าสน.หัวหมากท่ามกลางสื่อมวลชนที่มารอทำข่าวกันอย่างคับคั่ง

ด้านพ.ต.ท.โกเมน สุภาพ พงส.ผนพ.สน.หัวหมากกล่าวว่า สำหรับการที่ผู้ต้องหาเดินทางมาพบเจ้าหน้าที่ เนื่องจากว่าถูกออกหมายจับ อีกทั้งเป็นเจ้าของรถเก๋งเชฟโรเลต ครูซ สีบรอนซ์ ทะเบียน ฏม 7373 ซึ่งเป็นรถที่อยู่ในจุดเกิดเหตุ ทั้งนี้เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การปฏิเสธและไม่ขอให้การในชั้นสอบสวน โดยจะขอให้การในชั้นศาลเท่านั้น อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้ประกันตัว และได้ควบคุมตัวสอบปากคำต่อไป โดยในวันนี้เวลา 10.00 น. จะนำตัวไปแถลงข่าวที่บช.น.ต่อไป
Share:

วันอังคารที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2556

ผัวเฒ่า76ปีหึงโหดยิงเมียวัย46พร้อมลูกเลี้ยงก่อนปลิดชีพตัวเอง

เมื่อเวลา 20.00 น. วันที่ 19 มี.ค.2556   ร.ต.อ.นครินทร์  มุกรินทร์ระไมมาศ พนักงานสอบสวน สภ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช ได้รับแจ้งว่ามีเหตุยิงกันตาย 3 ศพที่บ้านเลขที่ 33 บ้านดอนใคร หมู่ 7 ต.กลาย อ.ท่าศาลา   จ.นครศรีธรรมราช จึงพร้อมด้วย พ.ต.ท.โกศล ท่าสอน รอง ผกก.สส. พ.ต.ท.สมบัติ จำปาทอง รอง ผกก.สส. พ.ต.ท.ณธรรศ ม่วงแก้ว สว.สส.และเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยท่าศาลา รีบรุดไปยังที่เกิดเหตุ
ที่เกิดเหตุเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวยกสูง บริเวณลานดินหน้าบ้านเจ้าหน้าที่พบศพผู้ตายจำนวน 3 ศพ ศพแรกบริเวณหน้าบ้านชื่อ ด.ญ.พรพิมล  ดำมี อายุ 13 ปี สภาพศพมีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธขนาด .38 เข้าลำตัวจำนวน 1 นัดนอนตายในลักษณะคว่ำหน้า  และห่างไปประมาณ 10 เมตร บริเวณข้างบ้านพบศพผู้ชายและผู้หญิง 2 ศพในสภาพนอนหงายศีรษะหันไปคนละฝั่งแต่เท้าเกยทับกัน ข้าง ๆ ศพของสองสามีภรรยาต่างวัยพบสุนัขพันธุ์พุดเดิ้ลตัวหนึ่งที่ครอบครัวของผู้ตายเลี้ยงเอาไว้นอนเฝ้าศพไม่ยอมห่าง และไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ศพ เจ้าหน้าที่ต้องให้ญาติ ๆ ของผู้ตายจับสุนัขตัวดังกล่าวออกไปก่อนเข้าตรวจสอบชันสูตรพลิกศพ  ซึ่งศพผู้ชายชื่อนายเรียม  ผิวล้วน อายุ 76 ปี สภาพศพมีบาดแผลถูกยิงด้วยกระสุนขนาด .38 เข้าขมับขวา 1 นัดกระสุนฝังใน ข้างศพที่ใกล้มือด้านขวาพบอาวุธปืนพกสั้นขนาด .38 จำนวน 1 กระบอกตกอยู่ใกล้ ๆ ทราบว่าเป็นอาวุธปืนของนายเรียม ผู้ตาย ศพ ส่วนศพผู้หญิงชื่อนางภรรัตน์ สุขงอม 46 ปี เจ้าของบ้านเกิดเหตุ  สภาพถูกยิงด้วยอาวุธปืนเดียวกันเข้ากลางหน้าอกซ้ายกระสุนฝังใน 1 นัด เลือดสด ๆ ไหลทะลักนองพื้นที่ส่งกลิ่นเหม็นคราวคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ  ในที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนปืน.38 ตกอยู่จำนวน 4 ปลอก จึงเก็บไว้เป็นหลักฐานประกอบคดีต่อไป
จากการสอบสวนในเบื้องต้นทราบว่านายเรียม ผู้ตาย 1 ใน 3 ศพ เป็นผู้ก่อเหตุสยองครั้งนี้ ในอดีตเป็น อส.ประจำอำเภอสิชล จ.นครศรีธรรมราช ส่วนนางภรรัตน์ ได้เลิกรากับสามีเก่าเมื่อ 3 ปีก่อน และได้มาอยู่กินกับนายเรียม ที่บ้านที่เกิดเหตุ โดยนางภรรัตน์ ได้มีลูกติด 2 คนเป็นลูกชายวัย 19 ปี และ ด.ญ.พรพิมล ลูกสาววัย13 ปี ซึ่งนางภรรัตน์ มีอาชีพขายผักตามตลาดนัด โดยทุกวันนางภรรัตน์ จะขับรถยนต์กระบะตระเวนไปขายผักตามตลาดนัดทั้งในและต่างอำเภอ
ก่อนเกิดเหตุนางภรรัตน์ ได้ขับรถยนต์กระบะกลับจากขายผักตามตลาดนัดแห่งหนึ่ง เมื่อกลับบ้านพัก ได้นำรถเข้าโรงจอดรถข้างบ้าน ในขณะที่นายเรียม ยืนรอเมียรักอยู่หน้าบ้าน และตรงเข้าไปหานางภรรัตน์ พร้อมสอบถามเรื่องที่นางภรรัตน์ กลับบ้านผิดเวลา  ทั้งนี้เนื่องจากนายเรียม เกรงว่านางภรรัตน์ เมียรักคราวลูกคราวหลานจะปันใจไปให้ชายอื่นจึงเกิดหึงหวงเมียสาว  พร้อมต่อว่านางภรรัตน์ ต่าง ๆ นานา จนทั้งคู่เกิดมีปากเสียงทะเลาะกันอย่างรุนแรง ในขณะที่ ด.ญ.พรพิมล แอบยืนดูแม่และพ่อเลี้ยงทะเลาะกันอยู่ห่าง ๆ
จนกระทั้งนายเรียม บันดาลโทสะชักอาวุธปืนออกมาจ่อยิงนางภรรัตน์  1 นัดล้มคว่ำเสียชีวิตคาที่ ด.ญ.พรพิมล บุตรสาวของนางภรรัตน์ เห็นแม่ถูกยิงจนล้มฟุบจมกองเลือดจึงรีบวิ่งเข้าไปช่วยเหลือแม่จึงถูกพ่อเลี้ยงใจโหดจ่อยิงจนล้มฟุบเสียชีวิตเป็นศพที่ 2 หลังจากนั้นนายเรียม เฒ่าจอมหึงโหดได้หันปากกระบอกปืนจ่อยิงหัวตัวเองฆ่าตัวตายตามเป็นศพที่ 3 เพื่อหนีความผิดดังกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นที่วิพากวิจารณ์ของชาวบ้านอย่างกว้างขวาง และถือเป็นคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญคดีแรกที่เกิดขึ้นในพื้นที่ หลังจากเจ้าหน้าที่ได้ทำการชันสูตรพลิกศพเสร็จแล้วได้มอบศพให้กับญาตินำศพไปจัดการตามประเพณีต่อไป.
Share:

หนุ่มน้อยใจแฟนสาวคว้า.38 ยิงศีรษะดับสยอง


เมื่อเวลา 20.00 . วันที่ 19 มี.....จำลอง รัตนคาม สารวัตรเวร สภ.เขาย้อย จ.เพชรบุรี รับแจ้งมีผู้ถูกยิงเสียชีวิตภายในบ้านพักฝั่งตรงข้ามกับโรงเรียนวัดเขาสมอระ บัง ต.หนองปลาไหล อ.เขาย้อย จ.เพชรบุรี จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบและรุดตรวจสอบพร้อมด้วยแพทย์เวรรพ.เขาย้อย เจ้าหน้าที่พิสูจรณ์หลักฐานเพชรบุรี และ เจ้าหน้าที่กู้ภัยมูลนิธิสว่างสรรเพชญธรรมสถาน จ.เพชรบุรี อีกหลายนาย
 
ที่เกิดเหตุเป็น บ้านไม้ยกสูง และบนพื้นบ้านพบร่างผู้เสียชีวิตนอนจมกองเลือดอยู่บนพื้นข้างโต๊ะรีดผ้า สวมกางเกงขาสั้นสีน้ำตาล ไม่สวมเสื้อ และพบอาวุธปืน .38 ลูกโม่ ตกอยู่ข้างลำตัว นาฬิกาข้อมือและโทรศัพท์มือถืออีก 1 เครื่อง ทราบชื่อต่อมาคือนายธีรภัทร์ หรืออั๋น สุขพันธ์ อายุ 30 ปี เลขที่ 54 หมู่ 2 .หนองปลาไหล อ.เขาย้อย จ.เพชรบุรี ที่ขมับขวามีร่องรอยการถูกยิงด้วย อาวุธปืนจนทะลุบริเวณเหนือขมับด้านซ้าย 1 แห่ง จนมันสมองกระจายไปทั่วบริเวณ และหัวกระสุนได้ทะลุไปถูกบริเวณฝาบ้านที่เป็นไม้จนเป็นรู
 
จากการสอบถามเบื้องต้น นางอรัญญา เขียวอยู่ มารดา นายธีรภัทร์ หรืออั๋น สุขพันธ์ผู้ตาย เล่าว่าลูกชายทำงานเป็นลูกจ้างอยู่ที่โรงเหล็กเกษมศักดิ์ ดอนทราย ก่อนเกิดเหตุผู้ตายเล่าให้ฟังว่ามีปากเสียงกับแฟนสาวคนใหม่อย่าง รุนแรงโดยตนได้พยายามปลอบโยนลูกว่าอย่าคิดมาก ต่อมาลูกชายได้มีการพูดแปลกๆว่าอยากจะดื่มน้ำล้างเท้าของมารดา ซึ่งตนก็นำน้ำมาล้างเท้าและบุตรชายก็เอาน้ำล้างเท้าของตนมาดื่ม และช่วงกลางวันบุตรชายได้โทรศัพท์ไปหาตนพร้อมกับบอกตนว่าอั๋นรักแม่มากนะ ก่อนที่จะวางหูโทรศัพท์ไป จนกระทั่งช่วงเย็นตนได้โทรศัพท์มาหาลูกชายเพื่อจะให้ไปทานอาหารแต่ก็โทรไม่ ติดจึงได้มาดูที่บ้านและพบว่าไฟที่บ้านปิดก็เลยปีนขึ้นบันได้ด้านหลังบ้าน และเปิดไฟพบว่าลูกนอนเสียชีวิตจมกองเลือดอยู่บนบ้านดังกล่าว

Share:

วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2556

จับโชเฟอร์ฉกเงิน 9.2 ล้านแบงก์กรุงไทย อ้างฉายเดี่ยว ยึดเงินคืน 8.9 ล้าน

กรณี 3 พนักงานรถขนเงินธนาคารกรุงไทย นำเงินสด 27 ล้านบาทจากกรุงไทย สาขาข่วงสิงห์ จ.เชียงใหม่ ขึ้นรถตู้ไปที่ธนาคารกรุงไทย สาขาแม่ริม ก่อนจอดรถไว้ใต้ถุนธนาคาร แล้วพากันออกไปกินข้าว แต่เมื่อกลับมาที่รถกลับพบว่าเงินสด 9.2  ล้านบาทที่ใส่ถุงไว้ 3 ใบหายไป โดยตำรวจโรงพักแม่ริมได้ออกหมายจับ 2 ใน 3 พนักงานขับรถขนเงินคันเกิดเหตุ ซึ่งสงสัยว่าจะมีส่วนรู้เห็นกับเรื่องนี้ ตามที่เสนอข่าวไปแล้ว ความคืบหน้า วันนี้ (19 มี.ค.) เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ตำรวจชุดสืบสวน บชภ.5  ได้จับกุม นายสุเมธ เลิศภาณุพัฒน์ ซึ่งเป็นคนขับรถของธนาคารกรุงไทยเช่นกัน แต่เป็นคนละคันกับที่เกิดเหตุ โดยจับกุมได้ที่บ้านพักของผู้ต้องหา ในอ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ พร้อมของกลาง เงินสด 8.9 ล้านบาท ที่ซุกซ่อนอยู่ในตู้เสื้อผ้า ในบ้านพักหลังดังกล่าว
ด้าน พล.ต.ต.ประจวบ วงศ์สุข ผบก.สส.ภ.5  เปิดเผยว่า สอบสวนเบื้องต้น ผู้ต้องหารับสารภาพว่า เป็นผู้ขโมยเงินจากรถขนเงินคันดังกล่าวจริง และทำเพียงคนเดียว โดยใช้รถเก๋งฮอนด้า ซิตี้ สีดำ หมายเลขทะเบียน ขฉ 5708 เชียงใหม่ ของตัวเองเป็นพาหนะในการก่อเหตุและขนเงินหลบหนี โดยวันเกิดเหตุได้วางแผนขับรถเก๋งไปจอดขวางจุดที่รถขนเงินจะต้องเข้าจอดประจำ ซึ่งจุดนั้นจะมีกล้องวงจรปิด ทำให้รถขนเงินไม่สามารถเข้าจอดได้ จึงต้องขับไปจอดในจุดอื่นที่ไม่มีกล้องวงจรปิดคอยจับภาพ จากนั้นจึงอาศัยจังหวะที่พนักงานรถขนเงินทั้งหมดไปกินข้าว ใช้ความชำนาญเกี่ยวกับระบบรถขนเงิน ลงมือฉกเงิน 9.2 ล้าน ใส่รถขับหลบหนีไป อย่างไรก็ดี ทางตำรวจกำลังเร่งขยายผลว่ามีคนอื่นรู้เห็นอีกหรือไม่ และขณะนี้กำลังควบคุมตัว นายสุเมธ ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ก่อนนำตัวไปแถลงข่าวต่อไป.
Share:

จักรยานยนต์พุ่งเสยท้ายสิบล้อพ่วงเลี้ยวเข้าโรงงานตาย1เจ็บ1

เมื่อเวลา 03.00น.  วันที่ 19 มีนาคม 2556  ร.ต.ต. ณัฏฐพล อุดน้อย ร้อยเวรสอบสวนสภ.คลองหลวง รับแจ้งมีอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ชนท้ายรถบรรทุกพ่วงมีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตให้มาตรวจสอบ  ที่เกิดเหตุถนนเลียบคลองสาม หน้าบริษัท รังสิตรีไซเคิล จำกัด เลขที่ 25/5 หมู่ที่ 10 ต.คลองสาม อ.คลองหลวง หลังรับแจ้งจึงรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมด้วยอาสาสมัครป่อเต็กตึ๊ง  หน่วยกู้ชีพบัวเพชร แพทย์เวรร.พ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ

ในที่เกิดเหตุพบรถจักรยานยนต์ยี่ห้อยามาฮ่ารุ่นมีโอสีดำ หมายเลขทะเบียน มมค 495 กทม.ล้มคว่ำอยู่กลางถนนสภาพด้านหน้ารถพังยับเยินชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์กระเด็นกระจัดกระจาย ใกล้กันพบผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวน1รายซึ่งเป็นผู้ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ทราบชื่อต่อมานายธนพล  เสนีวงศ์ อายุ 17ปี อยู่บ้านเลขที่ 69/76 ต.ลาดสวาย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี มีบาดแผลถลอกตามร่างกายกู้ชีพบัวเพชรนำส่งร.พ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ใกล้กับพบผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์เสียชีวิตอยู่บริเวณกลางถนนในลักษณะคว่ำหน้าศีรษะเป็นแผลฉกรรจ์ แขนขาทั้งสองข้างหัก ทราบชื่อผู้ตายเพียงชื่อเล่นนายเบส อายุ20ปี ห่างกันเล็กน้อยพบรถบรรทุกพ่วง18ล้อ ยี่ห้อฮีโน่ สีขาวหมายเลขทะเบียนตัวแม่ 81-4436 เพชรบูรณ์ ลูกพ่วง 80-3482 เพชรบูรณ์ จอดอยู่ริมทางบริเวณไฟเลี้ยวด้านขวาท้ายรถมีร่องรอยการถูกชนจนได้รับความเสียหาย ใกล้กันพบนายสมบูรณ์  ศรีจันทร์ อายุ39ปี ผู้ขับขี่รถพ่วงยืนรอให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่

นายสมบูรณ์  ศรีจันทร์ อายุ39ปี อยู่บ้านเลขที่ 27 หมู่ที่ ต.นางั่ว อ.เมืองเพชรบูรณ์ จ.เพชรบูรณ์ ผู้ขับขี่รถบรรทุกพ่วงให้การว่า ตนได้ขับรถบรรทุกกระดาษใช้แล้วมาเต็มคันรถจากจ.เพชรบูรณ์ เพื่อนำมาส่งที่โรงงานรังสิตรีไซเคิลจำกัด เมื่อมาถึงหน้าโรงงานตนกำลังชะลอความเร็วรถลงเพื่อเลี้ยวเข้าโรงงานจู่ๆก็มีรถจักรยานยนต์พุ่งชนท้ายอย่างแรงจนได้ยินเสียงดัง จึงจอดรถลงไปตรวจสอบก็พบมีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจึงโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มาตรวจสอบพร้อมประสานหน่วยกู้ภัย

ทางด้าน ร.ต.ต.ณัฏฐพล อุดน้อย ร้อยเวรสอบสวนสภ.คลองหลวง เปิดเผยว่า เบื้องต้นได้เชิญตัวผู้ขับขี่รถยนต์สิบล้อพ่วงไปสอบสวนเพิ่มเติมเพื่อแจ้งข้อกล่าวหาพร้อมทั้งให้อาสาสมัครป่อเต็กตึ๊งนำร่างผู้เสียชีวิตส่งนิติเวชร.พ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ เพื่อรอญาติรับศพกลับไปบำเพ็ญกุศลทางศาสนาต่อไป
   
Share:

Disqus Shortname

Comments system

ซ่อมคอมพิวเตอร์นอกสถานที่ บางกะปิ 095-954-4524

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

Blog Archive

Post Top Ad

คลังบทความของบล็อก

Author Details

Menu - Pages

Business

Random Posts

Recent

Popular

Blog Archive