ศาลสั่งประหารผู้ต้องหาขับรถทับรอง สว.สส.สุทธิสาร ดับอนาถ ขณะเข้าล่อซื้อ ยังปราณีให้การเป็นประโยชน์ลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต ส่วนเมียจำคุก 7 ปี ปรับ 3 แสนเศษ
วันนี้ (22 มี.ค.) ที่ห้องพิจารณา 712 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษา คดีฆ่าเจ้าพนักงาน หมายเลขดำ อ.1002/2555 ที่ พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นาย อลงกรณ์ หรือบอย เริ่มประชาธิปไตย อายุ 26 ปี และ น.ส. ปรียานุช พุฒิกรณ์ อายุ 24 ปี สองสามีภรรยา เป็นจำเลยที่1- 2 ตามลำดับ ในความผิดฐาน ฆ่าและพยามฆ่าเจ้าพนักงาน, พ.ร.บ.ยาเสพติด ฯ
ตามฟ้องโจทก์เมื่อวันที่ 5เม.ย.55 ระบุความผิดสรุปว่าเมื่อวันที่ 11 ม.ค. 2555 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองได้มีเมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า จำนวน 200 เม็ดและยาไอซ์ จำนวน 4 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน. สุทธิสารกับพวกล่อซื้อภายในซอยลาดพร้าว 48 จำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์มาสด้า 2 ทะเบียน ฎฟ-7874 กทม. ซึ่งมีจำเลยที่ 2 นั่งคู่มาเพื่อส่งยา เมื่อจำเลยที่ 1 ไหวทันว่าเจ้าหน้าที่จะเข้าจับกุม จึงขับรถหลบหนีและพุ่งชนจยย.ทะเบียน สธม- 279 กทม. ซึ่งมีส.ต.ท.ศิรวิทย์ รวมจิตร เป็นผู้ขับ โดยมี ร.ต.อ.ทวีศักดิ์ ดาวเรือง รอง สว.สส.สน.สุทธิสาร นั่งซ้อนท้าย และทับร่างของ ร.ต.อ.ทวีศักดิ์ ดาวเรือง ถึงแก่ความตาย ส่วน ส.ต.ท.ศิรวิทย์ ได้รับบาดเจ็บสาหัส เป็นอันตรายแก่กายและจิตใจ
ต่อมาจำเลยทั้ง 2 ถูกจับกุมได้ พร้อมยาเสพติดของกลางในที่เกิดเหตุเหตุเกิดภายในซอยลาดพร้าว 48 แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กทม.และ ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี เกี่ยวพันกัน ขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4,7,8,15,66,102, ป.อาญา มาตรา 138,289 ชั้นสอบสวนจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ แต่ปฏิเสธสู้คดีในชั้นศาล
ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายที่นำสืบหักล้างกันแล้วเห็นว่า ฝ่ายโจทก์มีส.ต.ท.ศิรวิทย์ ผู้ขับขี่ จยย. ประจักษ์พยาน เบิกความถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมเป็นประจักพยานที่เห็นเหตุการณ์อีก 2 ปาก ต่างเบิกความสอดคล้องกัน ว่า ขณะตำรวจแสดงตัวเข้าจับกุม จำเลยเข้าไปกลับรถภายในซอย ก่อนขับออกมาพุ่งชนร.ต.อ.ทวีศักดิ์ ที่ใช้รถ จยย.จอดขวางทาง การกระทำของจำเลยที่ขับรถทับผู้ตาย และลากร่างไปไกล 15 เมตร ย่อมเล็งเห็นผลว่าผู้ตาย จะถึงแก่ความตาย ประกอบกับชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ส่วนที่จำเลยที่ 1 อ้างในชั้นศาลว่า ไม่ทราบว่า ผู้ตายเป็นตำรวจ และหลังที่ถูกจับกุมแล้วโดนทำร้ายร่างกาย และบังคับให้สารภาพนั้น เป็น ข้ออ้างลอยๆ ไม่น่าเชื่อถือ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 1 กระทำผิดตามฟ้อง
พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานฆ่าเจ้าพนักงานที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ ลงโทษบทหนักสุดให้ประหารชีวิต และลงโทษฐานมียาเสพติดไว้ในครองครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 14 ปี ปรับ 7.5 แสนบาท ชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพฐานมียาเสพติดฯ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 7 ปี ปรับ 3.75 แสนบาท ส่วนข้อหาฆ่าเจ้าพนักงานฯ จำเลยให้การเป็นประโยชน์อยู่บ้างลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ตลอดชีวิต ปรับ 3.75 แสนบาท ส่วนจำเลยที่ 2 มียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 14 ปี ปรับ 7.5 แสนบาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกไว้ 7 ปี ปรับ 3.75 แสนบาท และให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินค่าขาดไร้ผู้อุปการะ และค่าใช้จ่ายในการปลงศพ แก่บิดา มารดาผู้ตายรวมเป็นเงิน 1.64 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5 ต่อปีด้วย ยึดยาเสพติดของกลาง.