วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2556
จับแล้วให้ออกทันที2ตำรวจฉาวอุ้มปล้นชาวอิตาลี
จับแล้ว 2 ตำรวจฉาว อุ้มไถเงินสถาปนิกและวิศวกรชาวอิตาลี ยังให้การภาคเสธ ยอมรับว่าอยู่ในที่เกิดเหตุหลังภาพกล้องวงจรปิดมัด แต่ไม่ได้ร่วมก่อเหตุ โดนข้อหาร่วมปล้นเรียกค่าไถ่ สั่งออกราชการทั้ง 4 นาย รองผบช.น. สั่งล่าตัว 2 ตำรวจ และหนุ่มอุซเบฯ ลั่นเป็นลูกผู้ชายพอ ให้มอบตัว
กรณีที่มีตำรวจร่วมมือกับชาวอุซเบกิสถาน อุ้มสถาปนิก และวิศวกรชาวอิตาลีไปรีดไถเงิน 2 ล้านบาท โดยยัดข้อหาว่าชาวอิตาลีทั้ง 2 คนใช้บัตรปลอมกดเงิน เบื้องต้นทราบว่าเป็นตำรวจสังกัด บก.น.5 ยศร.ต.ท. 2 นายสังกัด สน.ลุมพินี และอีก 2 นายเป็นชั้นประทวน สังกัด สน.ทองหล่อนั้น
ความคืบหน้าเมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 23 ส.ค. ที่สน.ลุมพินี พล.ต.ต.ปริญญา จันทร์สุริยา รองผบช.น. พล.ต.ต.สืบศักดิ์ พันธุ์สุระ ผบก.น.5 พ.ต.อ.ไชยา คงทรัพย์ ผกก.สน.ลุมพินี พร้อมฝ่ายสืบสวนร่วมกันประชุมความคืบหน้าและติดตามจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุ โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชม.
ต่อมาพล.ต.ต.ปริญญา เปิดเผยว่า เบื้องต้นได้ออกหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ กับผู้ก่อเหตุแล้วทั้ง 5 ราย คือ1.ร.ต.ท.วิรัตน์ อินทร์ยอด รองสวป.สน.ลุมพินี หมายจับเลขที่ จ.588/2556 2.ร.ต.ท.อัครเนตร มุฑาวัน รองสวป.สน.ลุมพินี หมายจับเลขที่ จ.589/2556 3.ด.ต.สถิตย์ จันทร์โสม ผบ.หมู่.งานปป.สน.ทองหล่อ หมายจับเลขที่ จ.590/2556 4.จ.ส.ต.ภูริพัศ ชื่นจำปา ผบ.หมู่งานปป. สน.ทองหล่อ หมายจับเลขที่ จ.591/2556 และ 5.นาย MUHIDDIN SHARIPOV ชาวอุซเบกิสถาน หมายจับเลขที่ จ.592/2556
โดยขณะนี้จับกุมผู้ต้องหาที่ก่อเหตุได้แล้ว 2 นาย คือ ด.ต.สถิตย์ และ จ.ส.ต.ภูริพัศ จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การภาคเสธ ยอมรับเพียงว่าอยู่ในที่เกิดเหตุตามที่ภาพกล้องวงจรปิดจับภาพไว้ได้ แต่ไม่ได้ร่วมลงมือก่อเหตุ เหลือผู้ก่อเหตุอีก 3 คน ที่ยังหลบหนีอยู่ คาดว่ายังกบดานอยู่ในประเทศ
อย่างไรก็ตามได้มีคำสั่งให้ตำรวจที่ก่อเหตุออกจากราชการไว้ก่อน และแจ้งข้อหาร่วมปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธ และร่วมกันเรียกค่าไถ่ ซึ่งพนักงานสอบสวนได้นำหลักฐานที่เป็นกล้องวงจรปิดที่จับภาพคนร้ายได้ภายในโรงแรมสวัสดี สุขุมวิทอินน์ ซอยสุขุวิท 57 ซึ่งเป็นภาพที่คนร้ายกำลังควบคุมตัวผู้เสียหายทั้ง 2 คน มาขังไว้ในโรงแรมดังกล่าว ในช่วงเวลา02.53 น. วันที่ 20 ส.ค. ทั้งนี้ตำรวจได้นำตัวผู้ต้องหาที่จับกุมได้ไปฝากขังที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ และคัดค้านประกันตัว เนื่องจากเกรงจะไปยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐาน พร้อมทั้งจะประสานไปยังกองบัญชาการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) เพื่อติดตามคนร้ายที่เป็นชาวต่างชาติ เพราะเกรงว่าจะหลบหนีออกนอกประเท
ต่อมาเวลา 12.00 น. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.) พล.ต.ต.ปริญญา รองผบช.น. เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ทุกบก.เร่งรัดติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีมาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็ว เนื่องจากทำให้ชื่อเสียงของตำรวจเสื่อมเสียมาก เบื้องต้นมีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน โดยพยานหลักฐานที่มีอยู่ขณะนี้เชื่อได้ว่าร่วมกันก่อเหตุจริง และหลักฐานก็เพียงพอที่จะเอาผิดกับผู้ต้องหาทั้งหมดได้ ส่วนจะเคยก่อเหตุในลักษณะนี้มาก่อนหรือไม่นั้นยังตอบไม่ได้ เพราะไม่มีผู้เสียหายมาแจ้งความเพิ่มเติม ทั้งนี้ผู้ต้องหา 2 คนที่จับกุมได้ ยังให้การภาคเสธ รับสารภาพไม่หมด ส่วนตำรวจอีก 2 คนที่หลบหนีคาดว่ายังอยู่ในพื้นที่ ยังไปได้ไม่ไกล แต่ยังไม่มีการติดต่อขอเข้ามอบตัว อย่างไรก็ตามหากรู้ตัวว่ากระทำความผิดจริงและเป็นลูกผู้ชายพอ ก็ขอให้เข้ามามอบตัว
ด้าน พล.ต.ต.สืบศักดิ์ ผบก.น. 5 กล่าวว่า เบื้องต้นได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะให้รองผบก.น.5 คนใด เป็นหัวหน้าคณะทำงาน ยังอยู่ระหว่างการร่างคำสั่ง คาดว่าในช่วงเย็นวันนี้น่าจะแล้วเสร็จ.
พยาบาลหึงโหดยิงสามีเภสัชดับคาร้านยา
พยาบาลสาวหึงโหด ยิงสามีเภสัชดับคาร้านยากลางเมืองท่าใหม่ จันทบุรี เผยทะเลาะกันเรื่องเจ้าชู้ ถึงขั้นลงมือจนตำรวจสายตรวจเข้าห้ามปราบ แต่พอคล้อยหลังไม่เลิกรา ชวนทะเลาะกันอีกยก จนต้องใช้ทูตมรณะตัดสิน
เมื่อเวลา 17.30 น. วันที่ 23 ส.ค. พ.ต.อ.สถาพร อมรรัตรสุชาติ ผกก.สภ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี พร้อมด้วย ร.ต.ท.รักชาติ นวลเจริญ ร้อยเวรเจ้าหน้าที่วิทยาการ กองพิสูจน์หลักฐาน นำกำลังตำรวจชุดชุดสืบสวน เข้าตรวจสอบภายในร้านขายยา ธัญรัตน์เภสัช เลขที่ 58 - 60 ถนนถีระวงษ์ ต.ท่าใหม่ หลังได้รับแจ้งว่าเจ้าของร้านถูกยิงเสียชีวิต
จากการตรวจสอบพบศพนายณัฐถพัฏน์ ฤกษ์เวียง อายุ 39 ปี อยู่บ้านเลขที่ 86/4 ถนนเทศบาลสาย 9 ต.ท่าใหม่ เป็นเภสัชเจ้าของร้านขายยาที่เกิดเหตุ อยู่ในสภาพนอนตะแคงเสียชีวิตในห้องพักหลังร้าน มีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนขนาด 9 มม. เข้ากกหูด้านขวา 1 นัด และหน้าท้อง 1 นัด ขณะที่น.ส.รัตนพร กล่อมอู่ อายุ 32 ปี พยาบาลวิชาชีพรพ.แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นภรรยาของผู้ตาย ยืนรอมอบตัวตำรวจพร้อมอาวุธปืนของกลาง
เมื่อสอบปากคำ น.ส.รัตนพร เ บื้องต้นทราบว่า สาเหตุที่ต้องลงมือฆ่าสามีตัวเอง เนื่องจากมีปากเสียงทะเลาะกันด้วยปัญหาเดิมๆ คือสามีมีนิสัยเจ้าชู้ และมีผู้หญิงมาติดพันหลายคน ก่อนเกิดเหตุถึงขึ้นลงมือตบตีกันภายในร้าน ก่อนจะมีตำรวจสายตรวจเข้ามาระงับเหตุ และสามารถตกลงกันได้ แต่เมื่อตำรวจสายตรวจกลับไป ทั้งคู่ก็เกิดมีปากเสียงกันอีก ทำให้นายณัฐถพัฏน์ บันดาลโทสะ คว้าเอาปืนในลิ้นชัก ออกมาขู่ แต่น.ส.รัตนพร ผู้ต้องหาพยายามเข้าไปยื้อแย่งจนสามารถคว้าเอาปืนมาได้ จึงหันปากกระบอกเข้าไปจ่อยิงสามี 2 นัด จนล้มทรุดเสียชีวิต พร้อมสำนึกผิดรอมอบตัว
ซ้อนแผนปิดล้อมล็อกเด็กแว้นซิ่งวิภาวดี29ราย
สน.วิภาวดี ระดมพล ซ้อนแผนไล่-ปิดล้อมจับเด็กแว้นได้ผู้ต้องหา 29 คน จยย.ของกลาง42คัน หัวโจกเหิมยิงปืนขู่เจ้าหน้าที่ บางส่วนยกรถข้ามเกาะหนีกระเจิง
เมื่อเวลา 02.30น. วันที่ 24 ส.ค. พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผกก.บก.จร. พ.ต.ท.พิทักษ์ นิยมพฤกษ์ รองผกก. งานศูนย์ควบคุมจราจรวิภาวดีรังสิตทางพิเศษ กก.2 บก.จร พ.ต.ท.สนอง แสงมณี สว.งานศูนย์ควบคุมจราจรวิภาวดีรังสิตทางพิเศษ กก.2 บก.จร(สน.วิภาวดี) ระดมเจ้าหน้าที่ 25 นาย สกัดตรวจจับเด็กแว้นหน้าบริษัทยาคูลท์ ถนนวิภาวดีฝั่งขาเข้า แขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่ กทม.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การจับกุมดังกล่าว เนื่องจากกลุ่มวัยรุ่นมักรวมตัวกันมาแข่งรถบนถนนวิภาวดีเป็นประจำ โดยเฉพาะช่วงวันศุกร์ จึงวางแผนจับกุม โดยใช้วิธีการนำรถเก๋งส่วนตัวของเจ้าหน้าที่และรถกระบะของทางราชการ 26 คัน แบ่งเป็น 2 ทีม มีทีมขับไล่กวดกลุ่มเด็กแว้นที่พยายามขับหนี จึงมีอีกทีมคอยสกัดจับ นำรถจอดขวางถนนไว้ป้องกันไม่ให้หนี
อย่างไรก็ตามบรรยากาศเป็นไปด้วยความวุ่นวาย เมื่อกลุ่มเด็กแว้นเห็นการปิดล้อมดังกล่าว จึงมีเด็กแว้นจำนวนหนึ่งพยายามยกรถข้ามเกาะกลางถนนและบางส่วนก็ทิ้งรถวิ่งหนี อีกทั้งยังพบรถเก๋งสีขาว ซึ่งคาดว่าจะเป็นหัวโจกเพราะขับนำหน้า เมื่อเห็นว่าพรรคพวกถูกจับก็ยิงปืน 3 นัด ข่มขู่เจ้าหน้าที่ด้วย แต่ตำรวจก็สามารถควบคุมตัวได้ได้ 29 คน พร้อมจยย.ของกลาง42 คัน ในจำนวนนี้เป็นเยาวชน 25 คน ผู้ใหญ่ 4 คน ส่วนหัวโจกและบางส่วนหนีไปได้ จะขยายผลต่อไป
พ.ต.ท.พิทักษ์ กล่าวว่า ผู้ที่ถูกจับกุมจะส่งให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดี โดยแจ้งข้อหาขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยและความเดือดร้อนของประชาชน พร้อมตรวจสอบบันทึกประวัติ หากพบว่าเคยมีประวัติถูกจับกุมและเคยเรียกผู้ปกครองมาทำประวัติร่วมแล้ว จะดำเนินการกับผู้ปกครองด้วย มีโทษจำคุกไม่เกิน 3เดือน ปรับไม่เกิน 30,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และส่งฟ้องศาลเยาวชนและครอบครัวกลางต่อไป ส่วนผู้ใหญ่จะส่งฟ้องศาลแขวงพระนครเหนือ