วันนี้ (8 ต.ค.) ที่ กองปราบปราม เมื่อเวลา 15.00 น. พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.ทินกร รังมาตย์ ผกก.6 บก.ป. พ.ต.ท.เกื้อกมล ดวงประทีป รอง ผกก.6 บก.ป. พ.ต.ท.ชลสิทธิ์ เทียมทัด สว.กก.6 บก.ป.พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่สถานทูตญี่ปุ่น ประจำประเทศไทย และเจ้าหน้าที่สำนักอัยการสูงสุด แถลงข่าวจับกุม นายวีรศักดิ์ หรือศักดิ์ เอี่ยมพงศ์ษา อายุ 39 ปี อยู่บ้านเลขที่ 180/2 หมู่ 4 ต.บ้านโพธิ์ อ.เมือง จ.ตรัง ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 1782/2555 ลงวันที่ 5 ตุลาคม 2555 ข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา จับกุมได้ที่รถทัวร์บริษัท ศรีสุเทพทัวร์ บริเวณที่จอดรถริมถนนเพชรเกษม ต.ชะมาย อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช
พ.ต.อ.ประสพโชค กล่าวว่า การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 27 เมษายนที่ผ่านมา พ.ต.อ.ยูอิจิ ฮารา ตำรวจนครบาลกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ได้ประสานงานกับตำรวจ บก.ป.เพื่อให้ช่วยสืบสวนติดตามจับกุม นายวีรศักดิ์ ผู้ต้องหาก่อเหตุฆ่า นางเมงูมิ อาวาจิ อายุ 33 ปี ชาวญี่ปุ่น เหตุเกิดในกรุงโตเกียว เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2536 ก่อนหลบหนีคดีกลับมาประเทศไทย โดยทางตำรวจญี่ปุ่น ได้สืบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน กระทั่งได้ขออนุมัติศาลเขตโตชิมะ ออกหมายจับผู้ต้องหารายนี้ไว้ตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม 2536 แต่เนื่องจากประเทศไทยและญี่ปุ่น ไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อกัน จึงต้องประสานขอให้ทางการไทย ช่วยสืบสวนติดตามจับกุมและลงโทษผู้ต้องหารายนี้ตามกฎหมายไทย
พ.ต.อ.ประสพโชค กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา มีการประสานงานผ่านอัยการสูงสุด และสถานทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย แต่เรื่องกลับเงียบหายไปเป็นระยะเวลานาน 19 ปี ซึ่งอีกไม่กี่เดือนคดีก็จะขาดอายุความแล้ว ต่อมาภายหลัง บก.ป.ได้ดำเนินการร่วมกันระหว่างหน่วยงานตำรวจของไทยและญี่ปุ่น ตามความร่วมมือทางคดีอาญา โดยส่งชุดสืบสวน กก.6 บก.ป.ร่วมกับพนักงานอัยการสำนักคดีอาญาและสำนักงานต่างประเทศ เร่งรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในคดี ก่อนจะขออนุมัติศาลอาญา ออกหมายจับผู้ต้องหา กระทั่งสามารถติดตามจับกุมตัวได้ในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช ขณะที่ผู้ต้องหากำลังเดินทางจากบ้านพักใน จ.ตรัง
สอบสวนนายวีรศักดิ์ รับสารภาพว่า ลงมือก่อเหตุฆ่าผู้เสียชีวิต จริง ส่วนสาเหตุนั้นเกิดจากบันดาลโทสะ สำหรับมูลเหตุและความเป็นมาของเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น เนื่องจากก่อนเกิดเหตุตนได้รู้จักกับหญิงสาวชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งชื่อ มายูมิ คูโดะที่เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย และได้ชักชวนให้ไปทำงานเป็นบาร์โฮสที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งตอนนั้นตนยังมีอายุเพียง 19 ปี จึงรู้สึกอยากรู้อยากลองไปทำงานต่างประเทศเพราะเป็นประสบการณ์ใหม่ นอกจากนี้ยังคิดว่าน่าจะมีรายได้ดี เมื่อเดินทางไปทำงานแล้ว จึงได้รู้จักกับ นางเมงูมิ ซึ่งเข้ามาเที่ยวในบาร์ที่ตนทำงานอยู่ จากนั้นเขาจึงชักชวนให้ตนไปหลับนอนและพักอาศัยที่บ้านเขาด้วย
นายวีรศักดิ์ ให้การต่อว่า หลังจากไปอยู่ที่บ้านพัก นางเมงูมิ ได้ 4-5 วัน ก็เกิดปัญหาทะเลาะกันตลอด โดยผู้เสียชีวิตเป็นคนโมโหร้าย เอาแต่ใจตัวเองมาก เมื่อมีอารมณ์ฉุนเฉียวจากเรื่องอะไรก็ตามก็จะมาลงที่ตนทุกครั้ง ซึ่งก่อนเกิดเหตุยังจำได้ว่า หลังจากเขาเล่นไพ่แล้วเสียพนันจนหมด ก็ตรงมาด่าทอ หาว่าตนเป็นผู้ชายขายตัวบ้าง เลี้ยงไม่เชื่องบ้าง นอกจากนี้ยังถ่มน้ำลายใส่แล้วบอกว่าตนเป็นแค่หมาข้างถนน พร้อมกันนั้นยังหยิบมีดตรงเข้ามาจะทำร้ายจึงเกิดการต่อสู้ขัดขืน เมื่อตนกระชากมีดมาได้จึงแทงไป 1 ครั้ง ก่อนจะใช้ผ้าขนหนูที่โพกผมกับสายเข็มขัดรัดคอจนเสียชีวิต
"หลังเกิดเหตุผมรู้สึกตกใจคิดจะหลบหนีไปตั้งหลัก จึงหยิบฉวยเอาทรัพย์สินของผู้ตาย ประกอบด้วยเงินใบละ 1 หมื่นเยน ประมาณ 30-40 ใบ แหวนเพชร กล้องถ่ายวีดีโอ เพื่อใช้เป็นทุนในการซื้อตั๋วเครื่องบินกลับประเทศไทย จากนั้นจึงไปขอความช่วยเหลือจาก น.ส.มายูมิ คูโดะ ให้ช่วยพาหนี จากนั้นผมก็หนีเข้าไปฮ่องกง และนำทรัพย์สินไปขายที่นั่น จากนั้นก็หนีกลับประเทศไทยได้สำเร็จ อย่างไรก็ดี เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้จะล่วงเลยมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่ก็ยังฝังใจผมอยู่เสมอมา เป็นตราบาปไปตลอดชีวิต ที่ผ่านมาก็เคยคิดจะไปบวชเพราะไม่มีความสุขในชีวิตเลย แม้จะมีครอบครัวแล้ว ซึ่งผมก็ได้ทำบุญ ทำสังฆทานไปให้เขา ถึงวันนี้ก็สำนึกผิด อยากจะขอโทษญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิต และรู้เสียใจที่ตอนนั้นได้ทำไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ ผมพร้อมจะชดใช้กรรมที่ได้กระทำไว้แล้ว โดยบอกได้เลยว่ายอมที่จะตายตกไปตามกัน เมื่อถูกตำรวจจับก็ไม่ได้คิดจะหาทนายความมาต่อสู้คดีแต่อย่างใด ผมพร้อมจะรับสารภาพต่อศาลทุกอย่าง” นายวีรศักดิ์ กล่าว
ต่อข้อถามว่าช่วงที่หลบหนีคดีมาก่อนหน้านี้เคยคิดจะเข้ามอบตัวกับตำรวจหรือไม่ นายวีรศักดิ์ กล่าวว่า ช่วงที่เกิดเหตุไม่นานตอนนั้นรู้สึกสับสน ใจหนึ่งก็คิดจะมอบตัวแต่อีกใจหนึ่งก็อยากจะทำงานตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ จึงปล่อยให้เรื่องราวมันผ่านเลยไป และที่สุดก็ไม่ได้มอบตัว แต่ตนเชื่อว่าเรื่องเวรกรรมนั้นมีจริง แม้คดีนี้จะผ่านมานานเกือบ 20 ปีแล้ว ก็ยังมาถูกตำรวจตามจับกุมมาดำเนินคดี ตนอยากขอให้ญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิตอโหสิกรรมให้ซึ่งเป็นการพูดจากใจจริงๆ ไม่ใช่ถูกจับแล้วถึงจะพูดเช่นนี้ หลังจากนี้ตนก็คงหมดสิ้นอิสรภาพแล้ว จึงอยากจะขอให้อภัยต่อกัน แม้เราจะเกิดคนชาติใช้คนละภาษาก็ไม่อยากให้เวรกรรมมันติดตามไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการจับกุมผู้ต้องหาในคดีดังกล่าวนั้นนับเป็นคดีแรกระหว่างประเทศไทยกับญี่ปุ่น ซึ่งดำเนินการตามความร่วมมือทางคดีอาญาระหว่างทั้งสองประเทศ แม้จะไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อกัน และในส่วนของคดีนี้ก็ใกล้จะขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งมีอายุความ 20 ปี แต่คดีที่เกิดขึ้นผ่านมาแล้ว 19 ปี 8 เดือน เหลืออีกเพียง 5 เดือน ก็ไม่สามารถดำเนินการตามความผิดที่เกิดขึ้นได้
พ.ต.อ.ประสพโชค กล่าวว่า การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 27 เมษายนที่ผ่านมา พ.ต.อ.ยูอิจิ ฮารา ตำรวจนครบาลกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ได้ประสานงานกับตำรวจ บก.ป.เพื่อให้ช่วยสืบสวนติดตามจับกุม นายวีรศักดิ์ ผู้ต้องหาก่อเหตุฆ่า นางเมงูมิ อาวาจิ อายุ 33 ปี ชาวญี่ปุ่น เหตุเกิดในกรุงโตเกียว เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2536 ก่อนหลบหนีคดีกลับมาประเทศไทย โดยทางตำรวจญี่ปุ่น ได้สืบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน กระทั่งได้ขออนุมัติศาลเขตโตชิมะ ออกหมายจับผู้ต้องหารายนี้ไว้ตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม 2536 แต่เนื่องจากประเทศไทยและญี่ปุ่น ไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อกัน จึงต้องประสานขอให้ทางการไทย ช่วยสืบสวนติดตามจับกุมและลงโทษผู้ต้องหารายนี้ตามกฎหมายไทย
พ.ต.อ.ประสพโชค กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา มีการประสานงานผ่านอัยการสูงสุด และสถานทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย แต่เรื่องกลับเงียบหายไปเป็นระยะเวลานาน 19 ปี ซึ่งอีกไม่กี่เดือนคดีก็จะขาดอายุความแล้ว ต่อมาภายหลัง บก.ป.ได้ดำเนินการร่วมกันระหว่างหน่วยงานตำรวจของไทยและญี่ปุ่น ตามความร่วมมือทางคดีอาญา โดยส่งชุดสืบสวน กก.6 บก.ป.ร่วมกับพนักงานอัยการสำนักคดีอาญาและสำนักงานต่างประเทศ เร่งรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในคดี ก่อนจะขออนุมัติศาลอาญา ออกหมายจับผู้ต้องหา กระทั่งสามารถติดตามจับกุมตัวได้ในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช ขณะที่ผู้ต้องหากำลังเดินทางจากบ้านพักใน จ.ตรัง
สอบสวนนายวีรศักดิ์ รับสารภาพว่า ลงมือก่อเหตุฆ่าผู้เสียชีวิต จริง ส่วนสาเหตุนั้นเกิดจากบันดาลโทสะ สำหรับมูลเหตุและความเป็นมาของเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น เนื่องจากก่อนเกิดเหตุตนได้รู้จักกับหญิงสาวชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งชื่อ มายูมิ คูโดะที่เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย และได้ชักชวนให้ไปทำงานเป็นบาร์โฮสที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งตอนนั้นตนยังมีอายุเพียง 19 ปี จึงรู้สึกอยากรู้อยากลองไปทำงานต่างประเทศเพราะเป็นประสบการณ์ใหม่ นอกจากนี้ยังคิดว่าน่าจะมีรายได้ดี เมื่อเดินทางไปทำงานแล้ว จึงได้รู้จักกับ นางเมงูมิ ซึ่งเข้ามาเที่ยวในบาร์ที่ตนทำงานอยู่ จากนั้นเขาจึงชักชวนให้ตนไปหลับนอนและพักอาศัยที่บ้านเขาด้วย
นายวีรศักดิ์ ให้การต่อว่า หลังจากไปอยู่ที่บ้านพัก นางเมงูมิ ได้ 4-5 วัน ก็เกิดปัญหาทะเลาะกันตลอด โดยผู้เสียชีวิตเป็นคนโมโหร้าย เอาแต่ใจตัวเองมาก เมื่อมีอารมณ์ฉุนเฉียวจากเรื่องอะไรก็ตามก็จะมาลงที่ตนทุกครั้ง ซึ่งก่อนเกิดเหตุยังจำได้ว่า หลังจากเขาเล่นไพ่แล้วเสียพนันจนหมด ก็ตรงมาด่าทอ หาว่าตนเป็นผู้ชายขายตัวบ้าง เลี้ยงไม่เชื่องบ้าง นอกจากนี้ยังถ่มน้ำลายใส่แล้วบอกว่าตนเป็นแค่หมาข้างถนน พร้อมกันนั้นยังหยิบมีดตรงเข้ามาจะทำร้ายจึงเกิดการต่อสู้ขัดขืน เมื่อตนกระชากมีดมาได้จึงแทงไป 1 ครั้ง ก่อนจะใช้ผ้าขนหนูที่โพกผมกับสายเข็มขัดรัดคอจนเสียชีวิต
"หลังเกิดเหตุผมรู้สึกตกใจคิดจะหลบหนีไปตั้งหลัก จึงหยิบฉวยเอาทรัพย์สินของผู้ตาย ประกอบด้วยเงินใบละ 1 หมื่นเยน ประมาณ 30-40 ใบ แหวนเพชร กล้องถ่ายวีดีโอ เพื่อใช้เป็นทุนในการซื้อตั๋วเครื่องบินกลับประเทศไทย จากนั้นจึงไปขอความช่วยเหลือจาก น.ส.มายูมิ คูโดะ ให้ช่วยพาหนี จากนั้นผมก็หนีเข้าไปฮ่องกง และนำทรัพย์สินไปขายที่นั่น จากนั้นก็หนีกลับประเทศไทยได้สำเร็จ อย่างไรก็ดี เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้จะล่วงเลยมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่ก็ยังฝังใจผมอยู่เสมอมา เป็นตราบาปไปตลอดชีวิต ที่ผ่านมาก็เคยคิดจะไปบวชเพราะไม่มีความสุขในชีวิตเลย แม้จะมีครอบครัวแล้ว ซึ่งผมก็ได้ทำบุญ ทำสังฆทานไปให้เขา ถึงวันนี้ก็สำนึกผิด อยากจะขอโทษญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิต และรู้เสียใจที่ตอนนั้นได้ทำไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ ผมพร้อมจะชดใช้กรรมที่ได้กระทำไว้แล้ว โดยบอกได้เลยว่ายอมที่จะตายตกไปตามกัน เมื่อถูกตำรวจจับก็ไม่ได้คิดจะหาทนายความมาต่อสู้คดีแต่อย่างใด ผมพร้อมจะรับสารภาพต่อศาลทุกอย่าง” นายวีรศักดิ์ กล่าว
ต่อข้อถามว่าช่วงที่หลบหนีคดีมาก่อนหน้านี้เคยคิดจะเข้ามอบตัวกับตำรวจหรือไม่ นายวีรศักดิ์ กล่าวว่า ช่วงที่เกิดเหตุไม่นานตอนนั้นรู้สึกสับสน ใจหนึ่งก็คิดจะมอบตัวแต่อีกใจหนึ่งก็อยากจะทำงานตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ จึงปล่อยให้เรื่องราวมันผ่านเลยไป และที่สุดก็ไม่ได้มอบตัว แต่ตนเชื่อว่าเรื่องเวรกรรมนั้นมีจริง แม้คดีนี้จะผ่านมานานเกือบ 20 ปีแล้ว ก็ยังมาถูกตำรวจตามจับกุมมาดำเนินคดี ตนอยากขอให้ญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิตอโหสิกรรมให้ซึ่งเป็นการพูดจากใจจริงๆ ไม่ใช่ถูกจับแล้วถึงจะพูดเช่นนี้ หลังจากนี้ตนก็คงหมดสิ้นอิสรภาพแล้ว จึงอยากจะขอให้อภัยต่อกัน แม้เราจะเกิดคนชาติใช้คนละภาษาก็ไม่อยากให้เวรกรรมมันติดตามไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการจับกุมผู้ต้องหาในคดีดังกล่าวนั้นนับเป็นคดีแรกระหว่างประเทศไทยกับญี่ปุ่น ซึ่งดำเนินการตามความร่วมมือทางคดีอาญาระหว่างทั้งสองประเทศ แม้จะไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อกัน และในส่วนของคดีนี้ก็ใกล้จะขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งมีอายุความ 20 ปี แต่คดีที่เกิดขึ้นผ่านมาแล้ว 19 ปี 8 เดือน เหลืออีกเพียง 5 เดือน ก็ไม่สามารถดำเนินการตามความผิดที่เกิดขึ้นได้
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น