กรณีมีการแชร์คลิปวิดีโอ "เขาว่าเขา(ใหญ่) แต่ต่อยผู้หญิง" ในโลกออนไลน์กันอย่างกว้างขวาง ซึ่งเป็นภาพเหตุการณ์ของผู้ชายคนหนึ่งกับสาวหล่อทะเลาะวิวาทกันเกี่ยวกับเรื่องการถอยรถ จนสุดท้ายเรื่องราวบานปลายเมื่อฝ่ายชายได้เข้าทำร้ายร่ายกายด้วยการตบตี ชกต่อย และเตะ แถมยังมีการผลักหัวและตัวผู้หญิงอีกคนที่มาด้วยจนกระเด็น ซึ่งต่อมาฝ่ายผู้หญิงทราบชื่อว่า น.ส.อัญรัตน์ พันธุ์วิชัยวุฒิ หรือ “เตย” อายุ 27 ปี อาชีพค้าขายอะไหล่รถมอเตอร์ไซด์ทางอินเตอร์เน็ต เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ สน.บุคคโล ให้ดำเนินคดีกับผู้ชายในคลิปทราบชื่อภายหลัง คือ นายเกษียร กมลชัยวานิช อายุ 48 ปี ซึ่งอ้างตัวเป็นอาจารย์สอนพิเศษวิชานิติศาสตร์ให้กับมหาวิทยาลัยหลายแห่ง โดยระบุว่าเหตุเกิดบริเวณซอยรัชดา 6 แขวงบุคคโล เขตท่าพระ ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ความคืบหน้าวันที่ 24 ก.พ. ร.ต.ท.สมพงษ์ กุลไกรจักร พนักงานสอบสวนเจ้าของคดี เปิดเผยว่า ช่วงหัวค่ำของเมื่อวาน (23 ก.พ.) น.ส.อัญรัตน์ ผู้เสียหาย พร้อมเพื่อนสาวและคุณแม่เดินทางมาให้รายละเอียดเพิ่มเติม พร้อมกับนำหลักฐานเป็นคลิปวีดีโอที่ 2 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ก่อนถูกนายเกษียรทำร้ายร่างกายมามอบให้ และเพื่อนสาวที่ปรากฏในคลิปเหตุการณ์ถูกนายเกษียรผลักศีรษะอย่างแรงจนกระเด็นหลังเข้าไปช่วยเพื่อน ก็ได้แจ้งความเอาผิด เบื้องต้นได้ตั้งข้อหาใช้กำลังทำร้ายร่างกายผู้อื่น ไม่ถึงกับเป็นอันตรายแก่กาย มีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท และจำคุกไม่เกิน 1 เดือน กับนายเกษียรไว้ก่อน ซึ่งขณะนี้ยังต้องรอผลการตรวจร่างกายจากแพทย์ รพ.ทหารเรือ เพื่อนำมาประกอบสำนวน ส่วนนายเกษียร ซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาระบุว่า จะเดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาในเวลา 18.00 น. ของวันที่ 27 ก.พ. ซึ่งหากไม่มาก็จะออกหมายเรียกต่อไป
ร.ต.ท.สมพงษ์ กล่าวต่อไปว่า กรณีที่มีกระแสข่าวว่า นายเกษียรเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น ไม่เป็นความจริง ซึ่งอาจเป็นความเข้าใจผิดไปเอง เนื่องจากบ้านหลังดังกล่าวที่นายเกษียรขับรถเลี้ยวเข้าไปนั้นเป็นบ้านของนายตำรวจท่านหนึ่ง ส่วนรถเบนซ์คันดังกล่าวที่ปรากฏในคลิปวีดีโอเป็นรถที่ยืมมาไม่ใช่ของนายเกษียร และในวันเกิดเหตุนายเกษียรได้ขับรถมาหาแฟนสาวที่บ้านดังกล่าว แต่ไม่ได้พักอาศัยอยู่ด้วย ส่วนกรณีที่อ้างตัวเป็นอาจารย์สอนพิเศษวิชานิติศาสตร์ให้กับมหาวิทยาลัยหลายแห่งนั้น เบื้องต้นยังไม่สรุปว่า เป็นอาจารย์จริงหรือไม่ คงต้องรอหลักฐานยืนยันความชัดเจนอีกครั้ง
ด้าน น.ส.อัญรัตน์ กล่าวว่า หลังจากเมื่อวานได้นำคลิปวิดีโอที่ 2 ซึ่งชาวบ้านที่อยู่ในเหตุการณ์ได้ถ่ายบันทึกไว้ ส่งมาให้ โดยเป็นภาพเหตุการณ์ที่นายเกษียรด่าทอพร้อมกับชักกุญแจรถแล้วปาใส่ จนสัญญาณกันขโมยดัง ก่อนจะถูกนายเกษียรทำร้ายร่างกาย โดยคลิปดังกล่าวตนนำมอบให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไว้เป็นหลักฐาน และขอคำปรึกษา หลังจากที่เผยแพร่ข่าวไปแล้ว มีสื่อโทรทัศน์ช่องหนึ่งนำเสนอข่าวว่า ตนเป็นฝ่ายท้าทายนายเกษียรและทำร้ายร่างกายก่อน ขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง จึงนำคลิปที่ชาวบ้านที่อยู่ในเหตุการณ์บันทึกไว้และเห็นใจตนมามอบให้เป็นหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อยันยันความจริง
น.ส.อัญรัตนน์ กล่าวต่อไปว่า เรื่องที่มีการชกสวนนายเกษียรนั้น เป็นการป้องกันตัว เพราะตนถูกทำร้ายก่อน โดยพนักงานสอบสวนบอกว่า กรณีของตนนั้นที่ปรากฏในคลิปเป็นการป้องกันตัวไม่มีความผิด และตนอยากให้นายเกษียรนำคลิปวิดีโอที่อ้างว่าตนเป็นฝ่ายท้าทายมามอบให้พนักงานสอบสวนด้วย ที่สำคัญ ตนอยากให้เรื่องดังกล่าวจบลงด้วยดีหากนายเกษียรกล่าวคำขอโทษต่อหน้าสื่อมวลชน
“ยอมรับว่าทุกวันนี้ยังหวาดผวากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถึงขนาดนอนไม่หลับ แถมร่างกายยังฟกช้ำจากการถูกทำร้ายอยู่เลย แม้จะกลัวอยู่แต่ตนก็ยังต้องเข้าออกบ้านเหมือนเดิม เพราะต้องทำงานและใช้ชีวิตประจำวันอยู่ภายในซอยดังกล่าว แต่ก็แอบหวั่นใจว่า จะมีใครมาทำร้ายหรือเปล่า หรือจะมีโทรศัพท์โทรมาข่มขู่ จึงอยากให้เรื่องนี้จบลงโดยเร็ว” น.ส.อัญรัตนน์กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการดูคลิปวีดีโอถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกรณีไม่ยอมถอยรถจนเรื่องราวบานปลายนั้น จึงได้ไปตรวจสอบภายในซอยดังกล่าว พบบริเวณที่เกิดเหตุทะเลาะกันและนายเกษียรลงมือทำร้ายร่างกาย น.ส.อัญรัตน์นั้น เป็นซอยแคบรถยนต์วิ่งได้ทางเดียวแต่ไม่สามารถสวนกันได้ หากวิ่งมาเจอกันต้องมีการหลบไปยังที่ว่างแล้วให้อีกคันขับผ่านไปได้ ซึ่งในจุดเกิดเหตุซึ่งเป็นหน้าโกดังของบริษัทหนึ่ง หากรถเบนซ์ของนายเกษียรเลี้ยวเบี่ยงหลบทางซ้ายมือซึ่งมีที่ว่าง แล้วให้ น.ส.อัญรัตน์ ขับผ่านไปก่อน ก็จะไม่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น
ความคืบหน้าวันที่ 24 ก.พ. ร.ต.ท.สมพงษ์ กุลไกรจักร พนักงานสอบสวนเจ้าของคดี เปิดเผยว่า ช่วงหัวค่ำของเมื่อวาน (23 ก.พ.) น.ส.อัญรัตน์ ผู้เสียหาย พร้อมเพื่อนสาวและคุณแม่เดินทางมาให้รายละเอียดเพิ่มเติม พร้อมกับนำหลักฐานเป็นคลิปวีดีโอที่ 2 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ก่อนถูกนายเกษียรทำร้ายร่างกายมามอบให้ และเพื่อนสาวที่ปรากฏในคลิปเหตุการณ์ถูกนายเกษียรผลักศีรษะอย่างแรงจนกระเด็นหลังเข้าไปช่วยเพื่อน ก็ได้แจ้งความเอาผิด เบื้องต้นได้ตั้งข้อหาใช้กำลังทำร้ายร่างกายผู้อื่น ไม่ถึงกับเป็นอันตรายแก่กาย มีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท และจำคุกไม่เกิน 1 เดือน กับนายเกษียรไว้ก่อน ซึ่งขณะนี้ยังต้องรอผลการตรวจร่างกายจากแพทย์ รพ.ทหารเรือ เพื่อนำมาประกอบสำนวน ส่วนนายเกษียร ซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาระบุว่า จะเดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาในเวลา 18.00 น. ของวันที่ 27 ก.พ. ซึ่งหากไม่มาก็จะออกหมายเรียกต่อไป
ร.ต.ท.สมพงษ์ กล่าวต่อไปว่า กรณีที่มีกระแสข่าวว่า นายเกษียรเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น ไม่เป็นความจริง ซึ่งอาจเป็นความเข้าใจผิดไปเอง เนื่องจากบ้านหลังดังกล่าวที่นายเกษียรขับรถเลี้ยวเข้าไปนั้นเป็นบ้านของนายตำรวจท่านหนึ่ง ส่วนรถเบนซ์คันดังกล่าวที่ปรากฏในคลิปวีดีโอเป็นรถที่ยืมมาไม่ใช่ของนายเกษียร และในวันเกิดเหตุนายเกษียรได้ขับรถมาหาแฟนสาวที่บ้านดังกล่าว แต่ไม่ได้พักอาศัยอยู่ด้วย ส่วนกรณีที่อ้างตัวเป็นอาจารย์สอนพิเศษวิชานิติศาสตร์ให้กับมหาวิทยาลัยหลายแห่งนั้น เบื้องต้นยังไม่สรุปว่า เป็นอาจารย์จริงหรือไม่ คงต้องรอหลักฐานยืนยันความชัดเจนอีกครั้ง
ด้าน น.ส.อัญรัตน์ กล่าวว่า หลังจากเมื่อวานได้นำคลิปวิดีโอที่ 2 ซึ่งชาวบ้านที่อยู่ในเหตุการณ์ได้ถ่ายบันทึกไว้ ส่งมาให้ โดยเป็นภาพเหตุการณ์ที่นายเกษียรด่าทอพร้อมกับชักกุญแจรถแล้วปาใส่ จนสัญญาณกันขโมยดัง ก่อนจะถูกนายเกษียรทำร้ายร่างกาย โดยคลิปดังกล่าวตนนำมอบให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไว้เป็นหลักฐาน และขอคำปรึกษา หลังจากที่เผยแพร่ข่าวไปแล้ว มีสื่อโทรทัศน์ช่องหนึ่งนำเสนอข่าวว่า ตนเป็นฝ่ายท้าทายนายเกษียรและทำร้ายร่างกายก่อน ขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง จึงนำคลิปที่ชาวบ้านที่อยู่ในเหตุการณ์บันทึกไว้และเห็นใจตนมามอบให้เป็นหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อยันยันความจริง
น.ส.อัญรัตนน์ กล่าวต่อไปว่า เรื่องที่มีการชกสวนนายเกษียรนั้น เป็นการป้องกันตัว เพราะตนถูกทำร้ายก่อน โดยพนักงานสอบสวนบอกว่า กรณีของตนนั้นที่ปรากฏในคลิปเป็นการป้องกันตัวไม่มีความผิด และตนอยากให้นายเกษียรนำคลิปวิดีโอที่อ้างว่าตนเป็นฝ่ายท้าทายมามอบให้พนักงานสอบสวนด้วย ที่สำคัญ ตนอยากให้เรื่องดังกล่าวจบลงด้วยดีหากนายเกษียรกล่าวคำขอโทษต่อหน้าสื่อมวลชน
“ยอมรับว่าทุกวันนี้ยังหวาดผวากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถึงขนาดนอนไม่หลับ แถมร่างกายยังฟกช้ำจากการถูกทำร้ายอยู่เลย แม้จะกลัวอยู่แต่ตนก็ยังต้องเข้าออกบ้านเหมือนเดิม เพราะต้องทำงานและใช้ชีวิตประจำวันอยู่ภายในซอยดังกล่าว แต่ก็แอบหวั่นใจว่า จะมีใครมาทำร้ายหรือเปล่า หรือจะมีโทรศัพท์โทรมาข่มขู่ จึงอยากให้เรื่องนี้จบลงโดยเร็ว” น.ส.อัญรัตนน์กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการดูคลิปวีดีโอถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกรณีไม่ยอมถอยรถจนเรื่องราวบานปลายนั้น จึงได้ไปตรวจสอบภายในซอยดังกล่าว พบบริเวณที่เกิดเหตุทะเลาะกันและนายเกษียรลงมือทำร้ายร่างกาย น.ส.อัญรัตน์นั้น เป็นซอยแคบรถยนต์วิ่งได้ทางเดียวแต่ไม่สามารถสวนกันได้ หากวิ่งมาเจอกันต้องมีการหลบไปยังที่ว่างแล้วให้อีกคันขับผ่านไปได้ ซึ่งในจุดเกิดเหตุซึ่งเป็นหน้าโกดังของบริษัทหนึ่ง หากรถเบนซ์ของนายเกษียรเลี้ยวเบี่ยงหลบทางซ้ายมือซึ่งมีที่ว่าง แล้วให้ น.ส.อัญรัตน์ ขับผ่านไปก่อน ก็จะไม่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น